“คนโง่สามารถปกปิดความโง่ไว้ได้ ภายใต้เครื่องแต่งตัวอันหรูหรา ตลอดเวลาที่ไม่พูดออกมา” หนังสือหิโตปเทศ
โดยนัยแห่งวาทะอันเป็นสุภาษิตข้างต้น ให้ความหมายชัดเจนว่า คนโง่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและอาภรณ์ราคาแพง ถ้าไม่พูดในสิ่งที่ตนเองไม่รู้หรือรู้น้อย ก็ไม่มีใครรู้ว่าโง่ แต่เมื่อได้พูดออกมาผู้ฟังที่รู้เรื่องนั้นดีก็จะรู้ทันทีว่าโง่ ในทำนองเดียวกันกับกาและกาเหว่าอยู่บนต้นไม้เคียงคู่กัน เขาไม่ร้องก็ยากที่จะบอกว่าตัวไหนเป็นกา และตัวไหนเป็นกาเหว่า ดังนั้น จึงสรุปคำคมได้ว่า เสียงร้องทำให้เรารู้ว่ากากับกาเหว่าต่างกันในทำนองเดียวกันกับการพูดทำให้คนโง่ และคนฉลาดแตกต่างกัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีข่าวฮือฮาได้ออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยการลงลึกถึงนโยบายการเงินการคลังในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ย และหนี้สาธารณะเป็นต้น ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีพอเมื่อเทียบกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ระดับรองลงมา
ในทันทีที่มีข่าวนี้แพร่ออกไป ได้มีผู้รู้ดีเกี่ยวกับการเงิน การคลังของประเทศได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองปกป้องธนาคารแห่งประเทศไทย และตำหนิพฤติกรรมของผู้นำพรรคเพื่อไทยว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศในสายตาชาวต่างชาติ และทำให้พรรคเพื่อไทยและตนเองด้อยค่าในสายตาของประชาชน
ต่อมาได้มีบางคนจากพรรคเพื่อไทยได้ออกมาปกป้องและยกยอปอปั้นหัวหน้าพรรคว่าเป็นคนรุ่นใหม่ มีความรู้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับการเงิน การคลัง และในขณะเดียวกัน ได้ตอกย้ำซ้ำเติมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเป็นคนวิเศษมาจากไหน ทำไมจึงแตะต้องไม่ได้
ผู้เขียนได้ฟังแล้วนึกถึงปรัชญาจีนที่สี จิ้นผิง ได้นำมาอ้างในหนังสือ Xi Jinping : The Governance of China ว่า คนตาบอดขี่ม้าตาบอดตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากตกสระลึกในเวลากลางคืน ซึ่งให้ความหมายในงานบริหารได้ ทั้งลูกน้องและเจ้านายไร้ปัญหา เจอปัญหาแก้ไม่ได้หายนะทั้งคู่
สุดท้ายขอจบด้วยกลอนบทนี้
เหมือนหิ่งห้อย น้อยแสง แข่งโสมส่อง
แมงป่อง หยิ่งยโส เที่ยวโชว์หาง
ชาติสกุล อวดฤทธิ์ ทำผิดทาง
คิดจะล้าง สิงหรา ท้าผจญ