ประชาคมโลกได้เฝ้ามองสงครามยืดเยื้อสองภูมิภาค นั่นคือระหว่างยูเครนและรัสเซียซึ่งย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แล้วและยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงได้อย่างไร
ที่คาดหมายได้คือไม่ใช่ชัยชนะของยูเครนแน่นอนเพราะทุกวันนี้อยู่ในสภาพสิ้นกำลังรบ ขาดทหาร และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาวุธ และเงินจากกลุ่มนาโตและประชาคมยุโรปซึ่งเป็นพวกเดียวกัน
อีกจุดหนึ่งคือการปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และกระทำอาชญากรรมสงครามต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาโดยกองทัพอิสราเอลซึ่งย่างเข้าสู่เดือนที่ 8 ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะจบสิ้นอย่างไรเช่นกัน
ยูเครนได้สูญเสียทหารไปแล้วกว่า 500,000 คน ทั้งหญิงและชาย รวมทั้งผู้บาดเจ็บและพิการ ทุกวันนี้กำลังเสียพื้นที่มากกว่าเดิมเพราะการรุกครั้งใหญ่ของกองทัพรัสเซีย ซึ่งมีความพร้อมด้านกำลังทหารและอาวุธกว่ายูเครน
จริงอยู่อิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กรวมจำนวนกว่า 39,000 รายและมีผู้บาดเจ็บกว่า 79,000 ราย ทำให้รัฐบาลแอฟริกาใต้นำคดีฟ้องศาลโลก ว่าอิสราเอลได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์
รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิสราเอลด้านอาวุธและเงินงบประมาณอย่างเต็มที่ทั้งยังคอยสกัดกั้นการโจมตีจากกลุ่มติดอาวุธรอบประเทศอิสราเอล
รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ยอมรับว่าอิสราเอลได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพราะจะทำให้ตัวเองติดร่างแหในฐานะผู้สนับสนุนหลักด้านอาวุธ เป็นโศกนาฏกรรมด้านมนุษยชาติซึ่งแม้แต่องค์การสหประชาชาติและศาลโลกก็ห้ามไม่ได้
อิสราเอลประกาศว่าจะต้องสู้รบกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธฮามาส แม้จะใช้เวลา 10 ปีก็ตาม นั่นหมายความว่าจะมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอีกในจำนวนรวม 2.4 ล้านคน ที่มีอยู่ปัจจุบันในฉนวนกาซา
ประชาคมโลกจะยอมรับได้หรือไม่
ผู้นำรัฐบาลอิสราเอลมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ประกาศ นั่นคือการทำสงครามยืดเยื้อเพื่อให้ตัวเองอยู่ในอำนาจเลี่ยงคดีอาญาที่ค้างคาอยู่ในศาล ถ้าพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีย่อมมีโอกาสติดคุก
ดังนั้นชาวปาเลสไตน์ต้องสังเวยชีวิตให้กับความเห็นแก่ตัว ความอำมหิตของผู้นำรัฐอิสราเอลและผู้นำกองทัพซึ่งได้แสดงความเลือดเย็นไร้มนุษยธรรมจนถูกประณาม นักศึกษาและประชาชน เดินขบวนประท้วงทั่วโลก
ด้านยูเครน ผู้นำรัฐบาล นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ได้นำประเทศสู่หายนะ ระบบสาธารณูปโภคและเครือข่ายคมนาคมย่อยยับ รวมทั้งกองทัพ ประชาชนลำบากและกว่า 10 ล้านคน ได้อพยพไปนอกประเทศ
จากอดีตตัวตลกบนจอทีวีกลายมาเป็นผู้นำประเทศได้ดำเนินนโยบายผิดพลาดร้ายแรงเพราะต้องการนำยูเครนเป็นสมาชิกนาโตซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นการคุกคามความอยู่รอดของประเทศ
ผู้นำตัวตลกยูเครนทำสงครามกับชาวรัสเซียซึ่งอยู่ในสองแคว้นด้านตะวันออก นำกองทัพฆ่าล้างชาวรัสเซียไปมากกว่า 14,000 รายแม้จะถูกทักท้วงโดยรัสเซียก็ตาม
เมื่ออยากเป็นสมาชิกนาโตและไม่เลิกสังหารคนรัสเซียซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทำให้กองทัพรัสเซียบุกเข้าทำปฏิบัติการพิเศษและเกิดสงครามยืดเยื้อกว่าสองปี
ยูเครนได้สูญเสียพื้นที่ไปประมาณ 25% และยังจะเสียเพิ่มอีกตราบใดที่ยังไม่ยอมเจรจาเพราะผู้นำดื้อด้านฟังแต่ประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งไม่ต้องการให้ยูเครนตกลงสงบศึกกับรัสเซีย โดยหวังให้รัสเซียอ่อนแอจากสงครามยืดเยื้อ
ผลที่เป็นอยู่คือยูเครนสิ้นสภาพในการสู้รบ ฮัลโหลได้ยินเสียง ต้องปรับเปลี่ยนตัวแม่ทัพและหน่วยองค์กรข่าวกรอง ความพยายามจะเกณฑ์ทหารเพิ่มไม่ประสบความสำเร็จเพราะคนหนีออกนอกประเทศ
เซเลนสกีไม่ยอมเจรจากับรัสเซียทำตัวเป็นผู้นำภายใต้กฎอัยการศึก โดยไม่มีฝ่ายค้านและการตรวจสอบโดยสื่อมวลชนและองค์กรอื่นๆ
วันจันทร์ที่ 20 นี้เป็นวันสุดท้ายของการเป็นผู้นำตามระบบที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เซเลนสกีก็ยังไม่ประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยอ้างภาวะสงครามทำให้เกิดคำถามว่าเป็นผู้นำโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
เซเลนสกียังได้ออกกฎหมายห้ามเจรจากับรัสเซียเด็ดขาดโดยตั้งเงื่อนไขว่าจะมีการเจรจาก็ต่อเมื่อรัสเซียยอมคืนพื้นที่ที่ยึดไปและจ่ายความเสียหายฟื้นฟูสิ่งที่ถูกทำลายทุกอย่าง
ข้อเสนอนี้จะถูกนำไปถกกันในการประชุมสันติภาพกำหนดไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์กลางเดือนหน้าโดยไม่มีรัสเซียเข้าร่วม แต่ข้อเสนอของยูเครนก็ถูกปัดปฏิเสธโดยรัสเซียว่าการเจรจาต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงด้านภูมิศาสตร์และสถานภาพของพื้นที่
เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวยูเครนจะต้องประสบกับภัยพิบัติของสงครามต่อไปด้วยความเห็นแก่ตัวของผู้นำตัวตลกที่ฟังคำสั่งจากทำเนียบขาว และทุกวันนี้ทำตัวเหมือนขอทานตระเวนขออาวุธและเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และยุโรป
ถ้าเซเลนสกีตกจากอำนาจจากการถูกล้มโดยกองทัพ ขับไล่โดยประชาชน หรือเหตุอื่นใดก็ยังสามารถหลบไปใช้ชีวิตในโลกตะวันตกเพราะมีเงินสะสมมากเพียงพอจากเงินช่วยเหลือช่วงสงคราม
ประชาชนยูเครนต้องทนรับสภาพลำบากและอนาคตไม่แน่นอนเพราะความเห็นแก่ตัวของผู้นำตัวตลก
ชาวอิสราเอลเผชิญกับความโดดเดี่ยวโดยประชาคมโลก ไม่ต้องการให้ปาเลสไตน์เป็นรัฐอิสระ ความเห็นแก่ตัวของผู้นำรัฐบาลเพื่อหนีคดีอาญาจะทำให้สงครามยืดเยื้อ
ประชาชนอิสราเอลได้อพยพออกนอกประเทศกว่า 500,000 คนไปอยู่ยุโรปและประเทศอื่นๆ ที่จากมาก่อนหน้านี้
นี่เป็นบทพิสูจน์ที่เห็นว่าการเลือกผู้นำที่มีนโยบายผิดพลาดเห็นแก่ตัวย่อมนำพาบ้านเมืองและประชาชนสู่ความยากลำบากโดยไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อไหร่