ระหว่างที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านตัดสินใจเดินทางไปเยือนประเทศจีนเป็นรายแรก หลังได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีรัสเซียต่อไปอีก 6 ปีข้างหน้า เมื่อช่วงวันที่ 16-17 พ.ค.ที่ผ่านมา ประเทศอเมริกาคุณพ่อของโลกทั้งโลกก็ได้ตัดสินใจประกาศขึ้นภาษีสินค้าเข้าจากจีนไม่รู้จะกี่ต่อกี่ขนาน ไม่ว่าแร่หายาก เหล็ก อะลูมิเนียม แบตเตอรี่ลิเธียม เซมิคอนดักเตอร์ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนเวชภัณฑ์ต่างๆ ฯลฯ รวมมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะรถอีวีหรือรถไฟฟ้า...
เล่นเอารัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายWang Yi” ถึงกับต้องโพล่งออกมาประมาณว่า “อเมริกา...บ้าไปแล้ว!!!” ทำนองนั้น หรือถ้าว่ากันแบบนิ่มๆ ตามภาษาทางการทูตก็คือ “เป็นการกระทำอย่างเสียสติเพื่อหวังจะรักษาความเป็นผู้นำสูงสุดของโลกขั้วอำนาจเดียว” ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้ คงต้องขออนุญาตลองไปย้อนทบทวน ใคร่ครวญพิจารณา ถึงบทบาทความสัมพันธ์ระหว่าง “มหาอำนาจทั้ง 3” คืออเมริกา-รัสเซีย-และจีน ที่เคยโดดเด่นเป็นสง่า อยู่ในโลกแต่ละโลก จนนำมาซึ่งแนวคิด ทฤษฎี ที่คุณพี่จีนท่านเคยเรียกว่า “ทฤษฎี 3 โลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือทำให้นักการต่างประเทศรุ่นคลาสสิกของอเมริกา อย่างคุณปู่ “Henry Kissinger” ถึงกับพยายามประดิษฐ์คิดค้น แนวคิด-แนวทางสำหรับนโยบายต่างประเทศของอเมริกาในช่วงยุค “สงครามเย็น” ที่เรียกๆ กันว่า “Triangular diplomacy” หรือการทูตแบบ 3 เหลี่ยม 3 มุมอะไรทำนองนั้น เพื่อหวังจะ “แยกจีนออกจากรัสเซีย” จนบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ด้วย “การทูตปิงปอง” นับแต่ช่วงรัฐบาล “ริชาร์ด นิกสัน” เป็นต้นมา หรือทำให้จีนหันไปคบกับอเมริกาและก่อให้เกิด “สมดุลอำนาจ” แบบใหม่ขึ้นมาในโลกยุคนั้น...
แต่จะด้วยเหตุเพราะความกร่างง์ง์ง์ ความคิดว่าตัวเองคือจ้าวโลก ประมุขโลก แต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะหลังจากที่มหาอำนาจสังคมนิยมอย่าง “โซเวียตรัสเซีย” ได้แตกสลายลงไปเป็นชิ้นๆ รัฐบาลอเมริกันช่วงหลังๆ...เลยได้หันมาทำลายแนวคิดและนโยบายดังกล่าวแบบแทบไม่เหลือเศษ เหลือซาก เอาเลยก็ว่าได้ ชนิดที่ถูกถือว่าเป็น “ฝันร้ายของคิสซินเจอร์” (Kissinger Nightmare) เอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ว่าด้วยการรุกคืบขยายขอบเขตอิทธิพลของ “NATO” เข้าไปสร้างแรงกดดันหมีขาวรัสเซียถึงปากประตูบ้าน ไล่มาตั้งแต่ยูเครน โปแลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดน ฯลฯ ที่ต่างกลายเป็นเครือข่ายอำนาจ อิทธิพล ของอเมริกาไปด้วยกันทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังหันมาเปิดฉากสงครามการค้า การเมือง การทหารกับคุณพี่จีนในย่านเอเชีย-แปซิฟิก อย่างไม่คิดจะลดราวาศอกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าด้วยการปิดล้อม ปลุกปั่นยุแยงตะแคงรั่ว ไต้หวันและฟิลิปปินส์ พยายามทำให้กลุ่มพันธมิตรทางทหารอย่าง “AUKUS” กลายเป็น “NATO” แห่งเอเชียให้จงได้ ฯลฯ...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ “คำเตือน” ของอดีตที่ปรึกษาความมั่นคงของอเมริกาหลายยุคหลายสมัย อย่าง “นายZbigniew Brzezinski” ที่ได้ร่ายยาวเอาไว้ในข้อเขียน บทความ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 ถึง “ฉากสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆ” (The most dangerous scenario) ต่อความเป็นมหาอำนาจสูงสุดของอเมริกา นั่นคือ... “ความร่วมมือของจีนและรัสเซียอันไม่ได้เกิดจากแนวคิดแต่เกิดจากองค์ประกอบแห่งความขัดข้องใจ” เลยอุบัติขึ้นมาแบบเป็นจริง-เป็นจังจนได้!!!
ทั้งที่อเมริกายุคนี้กับยุคเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว...ย่อมผิดแผกแตกต่าง แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน เนื่องจากความเสื่อมโทรมทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่การทหาร ชนิดที่ผู้เชี่ยวชาญนักวิเคราะห์ด้านกิจการระหว่างประเทศอย่าง “นายBrian Berletic” ได้สรุปไว้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย นั่นคือ... “ความพยายามที่จะกดดันชาติต่างๆ ให้เดินไปตามแนวคิดและนโยบายของสหรัฐฯ ไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนเมื่อยุคอดีตอีกต่อไปแล้ว และนั่นกลับเป็นการโดดเดี่ยวอเมริกาและโลกตะวันตกกันไปแทนที่” ตรงกันข้ามกับการหันมาร่วมมือ-ร่วมไม้ระหว่างจีน-รัสเซียที่ก่อให้เกิด “จุดลงตัว” จนยากที่ป้องกันและขัดขวางได้อีกต่อไป โดยเฉพาะขณะที่รัสเซียเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติสำคัญๆ และจีนได้กลายเป็นศูนย์รวมของโรงงานการผลิต หรือเป็น “โรงงานของโลก” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!! ความร่วมมือระหว่างจีนกับรัสเซียจึงกลายเป็นสิ่งที่นักยุทธศาสตร์แห่ง “Heritage Foundation” อย่าง “นายMichael Pillsbury” ถึงกับสรุปต่อสำนักข่าว “Fox News” ไว้เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (16 พ.ค.) ว่าถือเป็น “อภิมหาความผิดพลาดทางนโยบาย” ของอเมริกาหรือ “เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ได้เห็นมาในชีวิต” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ยิ่งเมื่อมูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศที่พุ่งขึ้นไปถึง 227,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา อาจเขยิบขึ้นไปถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ภายในปีนี้เอาเลยก็ไม่แน่ แถมยังเป็นการค้าที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินยูเอสดอลลาร์แต่หันแลกเปลี่ยนกันด้วยเงินตราสกุลท้องถิ่นถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ความร่วมมือระหว่างจีนที่มีฐานะเป็นประธานกลุ่มประเทศ SCO ในปีนี้กับรัสเซียที่มีฐานะเป็นประธานกลุ่มประเทศ BRICS ในช่วงเดียวกัน จึงยิ่งเป็นอะไรที่ระเบิดเถิดเทิงยิ่งขึ้นไปใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยการเชื่อมโยงโครงการ “Belt and Road Initiative” ของจีนให้ทอดยาวเข้าไปในกลุ่มประเทศ “Eurasian Economic Union” ที่มีรัสเซียเป็นตัวนำ การร่วมประดิษฐ์คิดค้นกลไกหน่วยชำระทางบัญชีระหว่างประเทศโดยไม่ต้องพึ่งพา “SWIF” ร่วมกับบรรดาประเทศเศรษฐกิจใหม่หรือประเทศกำลังพัฒนา (Global South) ภายในอีก 3-5 ปีข้างหน้า หรือแม้แต่รถไฟฟ้าของจีนที่ถูกคุณพ่ออเมริกาเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็นต์ก็เถอะ ด้วย “ตลาด” ที่ขยายตัวอยู่ในแถบเอเชียตะวันออก ตะวันออกกลางและรัสเซีย ที่เพิ่มขึ้นไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ. 2023 และทำท่าว่าจะขยายตัวขึ้นไปอีก 20 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้ โอกาสที่คุณพี่จีนจะต้องหันไปงอนง้อ ขอร้อง ต่อคุณพ่ออเมริกาหรือยุโรปตะวันตก ยิ่งแทบไม่มีความจำเป็นเอาเลยก็ว่าได้ มีแต่จะ “ออกอาวุธโต้” กันในแบบไหน? อย่างไร? นั่นแหละเป็นหลัก...
ยิ่งเมื่อผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านออกโรงมาโฆษณาโดยไม่ได้คิดมูลค่าให้กับรถอีวีของจีน ด้วยการป่าวประกาศว่า “รถไฟฟ้าของจีนดีกว่าของอเมริกา” แบบชนิดซึ่งๆ หน้า และคงไม่ได้ขัดกับข้อเท็จจริง ข้อมูลความจริงมากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะอย่างที่คอลัมนิสต์ระดับโลก “นายDavid P. Goldman” ท่านได้ระบุไว้ข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาเผยแพร่ไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า ขณะที่รถอีวีของอเมริกา (Bolt) ขายในราคาคันละ 29,000 ดอลลาร์ เทียบไม่ได้กับรถอีวีของจีน (Dongfeng Nammi 01 Hatchback) ซึ่งมีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะกว่า แต่ขายเพียงแค่คันละ 11,000 ดอลลาร์ แถมยังพร้อมโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศกำลังพัฒนาอย่างเวียดนาม เม็กซิโก อินโดนีเซียและบราซิล ฯลฯ ขณะที่รถอเมริกันซึ่งขายอยู่ในประเทศจีนถึง 2.1 ล้านคันมากกว่าที่ขายอยู่ในอเมริกาซะอีก อาจต้องกลายเป็น “เหยื่อ” แห่งการตอบโต้ เอาคืน ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
สรุปรวมความแล้ว...การสร้างความอึดอัด ขัดข้องใจ ให้กับทั้งจีนและรัสเซีย โดยไม่ได้คิดหน้า-คิดหลัง หรือ “อภิมหาความผิดพลาดทางนโยบาย” ของอเมริกานั่นเอง ที่ทำให้เกิดความร่วมมือ-ร่วมใจระหว่างพญามังกรและหมีขาวชนิดถึงขั้นค่อยๆ ยกระดับไปสู่ความเป็น “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” จนได้!!! โดยแม้ว่าประเทศทั้งสองจะเน้นย้ำไว้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวมิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเล่นงานประเทศหนึ่ง-ประเทศใด หรือไม่ได้มุ่งจะฉกฉวยประโยชน์ระหว่างกันและกันเพียงลำพัง แต่เป็นสัมพันธภาพที่ตั้งอยู่พื้นฐานแห่งการปฏิเสธ คัดค้าน ทัดทาน ต่อความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ต่อโลกขั้วอำนาจเดียว เป็นสัมพันธภาพที่มุ่งหวังจะก่อให้เกิดโลกแบบหลายขั้วอำนาจ โลกที่นำมาซึ่งความร่วมมือแบบ “ชนะด้วยกันทุกฝ่าย” (Win-Win Cooperation) ไม่ใช่แบบ “แพ้คัดออก” (Zero-Sum Games) โลกที่มุ่งสรรค์สร้างความบริสุทธิ์-ยุติธรรม อันถือเป็น “แบบอย่าง” แห่งความสัมพันธ์ของมหาอำนาจในศตวรรษที่ 21 ที่พร้อมสลัดละทิ้งเสียซึ่งทัศนคติแบบยุค “สงครามเย็น” (Cold War Mentality) หรือทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซีย ถือเป็น “ส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญของเสถียรภาพหลักๆ แห่งประชาคมระหว่างประเทศ” ดังที่ประธานาธิบดีรัสเซียท่านได้ป่าวประกาศไว้ระหว่างการเยือนจีนคราวนี้...
และไม่ว่าคำประกาศดังกล่าวจะน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อเพียงใดก็เถอะ...แต่นั่นย่อมทำให้ “ฉากสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆ” หรือ “The Most dangerous scenario” ต่อความเป็นมหาอำนาจสูงสุดของอเมริกา ดังที่ “นายZbigniew Brzezinski” ได้เตือนเอาไว้ก่อนหน้านั้น ย่อมได้อุบัติขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โอกาสที่โลกตะวันตกอันมีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำและชาติพันธมิตรยุโรป ที่ต่างก็กำลังเสื่อมถอย เสื่อมโทรม ไม่ว่าในด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การทหารก็ตามที จะยังคิดเดินหน้าไปสู่ความฉิบหาย ความล่มสลาย หรือจะแฉลบออกข้างแบบไหน? ลักษณะไหน? คงต้องคอยติดตามแบบมิอาจกะพริบตาได้เลย!!!