xs
xsm
sm
md
lg

ความปัญญาอ่อนของโลกตะวันตกกับอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย
มันก็น่าจะจริงอย่างที่อดีตประธานาธิบดีและรองประธานสภาความมั่นคงรัสเซียปัจจุบัน “นายDmitry Medvedev” ท่านสรุปไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า บรรดาพวกผู้นำประเทศตะวันตกหลังๆ นี้ ล้วนแล้วแต่หนักไปทาง “ปัญญาอ่อน” หรือระดับสติปัญญาพอๆ กับเด็กทารก (Infantile Morons) อะไรประมาณนั้น...

ไม่ว่าจะเป็นผู้นำฝรั่งเศส...ประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” ที่ออกมาทำท่ายึกๆ ยักๆ คิดจะส่งทหารฝรั่งเศสไปร่วมรบในสมรภูมิยูเครน หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังไม่แน่!!! โดยเรียกท่าทีแบบมั่วๆ มึนๆ ของตัวเองไว้ซะเก๋ๆ ไก๋ๆ ว่า “Strategic Ambiguity” หรือยุทธศาสตร์แบบกำๆ กวมๆ ทำนองนั้น หรือกระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ยอมลดระดับลงมารับใช้สุนัข (ประทานโทษ) นายกรัฐมนตรี “ฤาษี สุนัข” (Rishi Sunak) ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศทุกวันนี้ คือ “นายDavid Cameron” ที่ออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์แบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่า “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนมีสิทธิเต็มที่ที่จะใช้จรวดของอังกฤษโจมตีเป้าหมายลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ไปจนถึงนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ “นายDonald Tusk” ที่เพรียกหาอยากให้คุณพ่ออเมริกาหอบอาวุธนิวเคลียร์มาติดตั้งไว้ในประเทศตัวเอง ฯลฯ เป็นต้น...

คือพูดง่ายๆ ว่า...อะไรมันอยากจะชักศึกเข้าบ้าน อยากฉุดกระชากลากถู “ความฉิบหาย” ให้เข้าสู่บ้านเมืองตัวเอง ได้อย่างกระเหี้ยนกระหือรือไปได้ถึงปานนั้น!!! ชนิดแทบไม่น่าเชื่อแต่คงต้องเชื่อว่าน่าจะหนักไปทาง “Infantile Morons” เอาจริงๆ เพราะประเทศหมีขาวรัสเซียเป็นที่รับรู้กันมาโดยตลอดว่า “ดุ” ระดับ “อย่าแหย่...หมีหลับ” โดยเด็ดขาด ก็คือ “ชาตินิวเคลียร์” ที่สะสมหัวรบนิวเคลียร์เอาไว้ถึง 5,580 หัวรบ หรือจัดว่ามากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ส่วนที่ติดตั้งประจำการพร้อมงัดมาใช้งานได้โดยฉับพลัน-ทันที ก็น่าจะประกอบด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ไม่ต่ำกว่า 1,710 ลูก ตามข้อมูล สถิติ เมื่อปี ค.ศ. 2024 สามารถยิงข้ามฟ้า ข้ามประเทศ ยิงจากเรือดำน้ำ หรือจากฐานปฏิบัติการ ณ ซอกไหน มุมไหน ก็ย่อมได้ โดยเฉพาะถ้าหากถูกบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายรวมหัวรุมกระทืบ พยายามแทบทุกวิถีทางที่จะยัดเยียดความปราชัยให้กับประเทศนี้ให้จงได้ โอกาสที่รัสเซียเขาอาจงัดอาวุธชนิดนี้ออกมาใช้ แทนที่จะซุกเอาไว้ก้นครัวแบบสากกะเบือในแต่ละแท่ง แต่ละด้าม เพื่อมิให้ประเทศชาติ อธิปไตย บูรณภาพของประเทศต้องแหลกสลาย ล่มสลาย จึงน่าจะเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้...

ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ถึงกับต้องแปลกใจอะไรมากมาย ที่ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านเลยสั่งให้ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ที่ฐานทัพ “Rostov-on-Don” ในจังหวัดทหารภาคใต้ของรัสเซีย ด้านที่ติดกับยูเครนเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 พ.ค.) อันถือเป็นการ “ส่งสาส์น” แบบหนักแน่นและตรงไป-ตรงมาไปยังบรรดาพวกผู้นำปัญญาอ่อน หรือผู้นำประเทศตะวันตกว่า “อย่าแหย่...หมีหลับ” อะไรทำนองนั้น หรือเท่ากับแสดงให้เห็นถึง “ความพร้อม” ไม่ว่าในแง่อาวุธยุทโธปกรณ์ หรือในแง่บุคลากรที่จะปกปักรักษาเสถียรภาพและอธิปไตยของประเทศรัสเซีย ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่มีอยู่ในมือ หรือไม่ว่าด้วยจรวดที่ติดหัวรบนิวเคลียร์น้ำหนัก “TNT” ประมาณ 5-50 กิโลตัน ซึ่งสามารถนำไปประกอบเป็นขีปนาวุธ 9M723-1 หรือ 9M728 ได้ทั้งนั้น หรือจะส่งขึ้นไปโดยจรวด Iskandar, Kinzhal แบบความเร็วเหนือเสียงไม่รู้กี่มัคต่อกี่มัค แถมส่ายไป-ส่ายมาได้อีกต่างหาก ไม่ว่าในพื้นที่ประเทศรัสเซียเอง หรือเลยไปถึงเบลารุสที่ได้นำเอาอาวุธประเภทไปติดตั้งประจำการเอาไว้แล้ว เผลอๆ...ยังไม่ทันที่โปแลนด์ผู้เสนออยากจะให้คุณพ่ออเมริกาเอาขีปนาวุธนิวเคลียร์มาไว้ที่ประเทศตัวเอง ทั้งที่อาวุธนิวเคลียร์อเมริกา กองระเกะระกะอยู่ในยุโรปไม่รู้จะกี่แผงต่อกี่แผง ไม่ว่าในอิตาลี เบลเยียม เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ไปจนถึงตุรเคียแล้วก็ตาม อาจต้องกลายเป็น “เป้าหมายอันดับแรก” ของนิวเคลียร์รัสเซีย ดังที่ชาวหมีขาวเขาได้เตือนเอาไว้แล้วล่วงหน้านั่นเอง...

อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าอาวุธนิวเคลียร์มันจะเป็นอาวุธร้ายแรง ระดับที่ “น้าหงา คาราวาน” ของหมู่เฮา ถึงกับเคยโหยหวนครวญครางเป็นบทเพลงไว้ถึงขั้นว่า “อะตอมมิคบอมบ์...ทั้งหลายตายเสียเถิด!!! ไล่มันกระเจิงเปิงเปิดไปให้พ้น” ทำนองนั้น แต่คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า โดย “หลักนิยม” ในการใช้อาวุธชนิดนี้ของรัสเซีย เขาย้ำแล้ว-ย้ำอีกเอาไว้แต่แรกว่าเขามีไว้ใช้เพื่อ “ป้องกัน” ไม่ใช่เพื่อ “โจมตี-รุกราน” และตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดี “กอร์บาชอฟ” มาแล้ว เขาก็พร้อมที่จะลดจำนวน หรือขจัดบรรดาหัวรบนิวเคลียร์ที่สร้างสมเอาไว้ร่วมกับผู้นำอเมริกายุคอดีตประธานาธิบดี “เรแกน” มาโดยตลอดแต่ฝ่ายคุณพ่ออเมริกาเองนั่นแหละ...ที่กลายเป็นผู้ฉีกสัญญาข้อตกลงดังกล่าว หลังจากเห็นโลกสังคมนิยมโซเวียตแตกสลาย เหลือแต่โลกทุนนิยมที่อเมริกาเป็นผู้นำรายเดียวเท่านั้น แถมยังไปไกลถึงขั้นคิดติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในอวกาศ แบบที่เรียกๆ กันว่าโครงการ “Star Wars” อีกด้วยต่างหาก...

โดยถ้าจะว่าไปแล้ว...หลังจากที่อเมริกาได้ใช้อาวุธมหาประลัยชนิดนี้ในการสังหาร พร่าผลาญชาวญี่ปุ่น ที่เมืองฮิโรชิมะและนางาซากิ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตายกันไปเป็นแสนๆ นับจากนั้นผู้ที่ถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยระงับยับยั้งไม่ให้เกิดการใช้อาวุธชนิดนี้มาล้างโลก ทำลายโลกมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา ก็คือ “ชาวรัสเซีย” เขานั่นแหละ!!! เช่นรายแรก อันได้แก่บุรุษผู้มีนามกรว่า “วาซีลี อเล็กซานโดรวิช อาร์คิพอฟ” (Vasili Alexandrovich Arkhipov) หรือที่อดีตผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา “นายThomas Blanton” ถึงกับต้องเอ่ยปากกับสื่อตะวันตกทั้งหลายเอาไว้ประมาณว่า... “หมอที่มีชื่อเรียกๆ กันว่า...วาซีลี อาร์คิพอฟนี่แหละ ที่เป็นผู้ช่วยโลกทั้งโลกเอาไว้ได้” อันเนื่องมาจากครั้งที่เกิด “วิกฤตจรวดคิวบา” (The Cuban Missile Crisis) เมื่อปีค.ศ. 1962 ระหว่างอเมริกากับโซเวียตรัสเซีย ด้วยเหตุเพราะแต่ละฝ่ายต่างคิดจะหาพื้นที่ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์เล็งเป้าไปยังฝ่ายตรงข้าม อย่างไม่คิดจะลดราวาศอกในช่วงยุค “สงครามเย็น” ที่ผ่านมา จนทำให้ผู้นำอเมริกาอดีตประธานาธิบดี “John F. Kennedy” ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินเมื่อรู้ข่าวว่าฝ่ายรัสเซียมาติดตั้งอาวุธชนิดนี้อยู่หน้าปากประตูบ้านตัวเอง หรือในประเทศคิวบาที่อยู่ห่างไปจากอเมริกาแค่ประมาณ 90 ไมล์เท่านั้นเอง...

โดยได้ตั้งด่านสกัดกั้นการลำเลียงอุปกรณ์ทุกชนิดของโซเวียตไม่ให้มาขึ้นฝั่งที่คิวบา ทั้งทางน้ำ ทางอากาศ แม้แต่ในเขตน่านน้ำสากลก็ตามที ขณะฝ่ายรัสเซียได้ใช้เรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ 4 ลำ (B4, B36, B59, B130) ขนอาวุธยุทโธปกรณ์มุ่งสู่คิวบา แถมเรือดำน้ำแต่ละลำยังได้รับคำสั่งให้สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้โดยทันที ถ้าหากถูกฝ่ายอเมริกาตรวจพบหรือสกัดกั้น ดังนั้น...ในจังหวะที่เรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Randolph” และกองเรืออีก 10 ลำของอเมริกาเจอเข้ากับเรือดำน้ำ “B59” ของรัสเซียและเข้าทำการปิดล้อม สกัดกั้น จังหวะนั้นนั่นเอง...ที่โลกทั้งโลกอาจหนีไม่พ้น “สงครามนิวเคลียร์” มาตั้งแต่บัดนั้น เพราะถ้าหากเรือลำใดลำหนึ่งของรัสเซียตัดสินใจงัดอาวุธนิวเคลียร์ออกมาตอบโต้ เรืออีก 3 ลำก็พร้อมที่จะสาดอาวุธมหาประลัยใส่ประเทศอเมริกาทั้งประเทศโดยทันที...

แต่ก็ด้วยเหตุที่เรือ “B59” ของรัสเซียลำนั้น...ดันมีรองผู้บังคับการเรือดำน้ำผู้มีชื่อว่า “วาซีลี อาร์คิพอฟ” ที่ยังมีสติยั้งคิด หนักแน่น สุขุมรอบคอบ จนสามารถเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้ผู้บังคับการเรือ “Valentin Savitsky” และเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง “Ivan Maslennikov” ที่มีหน้าที่ร่วมตัดสินใจ เห็นพ้อง-ต้องกันว่าน่าจะยอมนำเรือดำน้ำขึ้นสู่พื้นผิว แทนที่จะตัดสินใจเปิดฉากสงครามนิวเคลียร์ถล่มอเมริกา อันจะนำไปสู่ “สงครามล้างโลก” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า โลกทั้งโลกเลยผ่านพ้นสงครามนิวเคลียร์มาได้แบบหวีดหวิว ฉิวเฉียด โดยที่ต่างฝ่ายต่างหันไปหาทางออกด้วยสันติ หาข้อยุติความขัดแย้งระหว่างกันและกันจนได้ โดยความร่วมมือของผู้นำอเมริกาอย่าง “JFK” กับผู้นำโซเวียต “Nikita Khrushchev” ที่ไม่ถึงกับ “ปัญญาอ่อน” หรือไม่ได้มีสติปัญญาเทียบเท่ากับ “ทารก” ทั้งหลาย อย่างพวกผู้นำตะวันตกในทุกวันนี้...

ส่วนอีกรายก็คือนายทหารยศพันโทชาวรัสเซีย ผู้มีนามกรว่า “สตานิสลาฟ เปตรอฟ” (Stanislav Yevgrafovich Petrov) แต่มีหน้าที่ประจำการอยู่ ณ ฐานปฏิบัติการ “Serpukhov-15” อันเป็นศูนย์ตรวจสอบ เฝ้าระวังและแจ้งเตือนล่วงหน้าต่อการโจมตีทางอากาศ โดยช่วงระยะนั้นความตึงเครียดระหว่างอเมริกาและโซเวียตรัสเซียยังคงหนักหน่วง รุนแรง โดยเฉพาะเมื่อสายการบิน “Korean Air Line” เที่ยวบินที่ 007 ของเกาหลีใต้ที่บินหลงเข้าไปในน่านฟ้ารัสเซียถูกยิงตกในช่วงปี ค.ศ. 1983 โดยมี สส.อเมริกัน “นายLarry Patton” นักต่อต้านคอมมิวนิสต์ตัวยง เสียชีวิตไปพร้อมกับผู้โดยสารอีก 269 ราย ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้นี่เอง...ที่จู่ๆ ประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 26 ก.ย. 1983 ระบบคอมพิวเตอร์ตรวจการของศูนย์ “Serpukhov” ได้ปรากฏความเคลื่อนไหวของวัตถุต้องสงสัยเหนือจอเรดาร์ถึง 5 จุดและกำลังมุ่งตรงมายังน่านฟ้ารัสเซีย โดยระบบตรวจจับสัญญาณของฐานปฏิบัติการดังกล่าว ไม่เพียงถูกออกแบบให้ทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุต้องสงสัยเท่านั้น แต่ยังเป็นระบบปฏิบัติการโจมตี-ตอบโต้โดยอัตโนมัติอีกด้วย หรือเพียงแค่พันโท “Stanislav” ลุกขึ้นไปกดปุ่มสีแดงข้างโต๊ะทำงานเมื่อไหร่ การเตือนภัยก็จะกลายเป็นการโจมตี-ตอบโต้ อันจะทำให้ “สงครามนิวเคลียร์” เปิดฉากขึ้นมาในทันที-ทันใดแต่ด้วยสติ ความยับยั้งชั่งใจ ที่นายทหารผู้นี้พยายามเตือนตัวเองว่าจะไม่ยอมให้การตัดสินใจใดๆ ของตัวเองก่อความผิดพลาดและเสียหายต่อผู้อื่นโดยเด็ดขาด “สตานิสลาฟ เปตรอฟ” เลยตัดสินใจ... “ไม่ทำอะไรเลย!!!”

หรือดังที่เขาได้ตอบคำถามพิธีกรรายการโทรทัศน์ “CBS” “นายWalter Cronkite” ขณะเดินทางไปอเมริกาเพื่อรับใบประกาศเกียรติคุณในฐานะ “พลโลกผู้ควรได้รับการสรรเสริญ” ที่สำนักงานสหประชาชาติว่า ณ วินาทีนั้นเขาคิดอย่างไร??? นายทหารรัสเซียรายนี้กลับตอบว่า...เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยกอบกู้โลกเอาเลยแม้แต่น้อย แต่สรุปไว้แบบซื่อๆ ใสๆ ว่า... “ผมแค่ทำงานของผมไปตามธรรมดา เพียงแต่ผมอาจอยู่ถูกที่ ถูกเวลา ทั้งหมดมันก็แค่นั้นเอง แม้แต่ภรรยาของผมก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ และเมื่อเธอรู้แล้วถามว่าผมทำยังไง ผมก็ตอบว่า...ก็ไม่ทำอะไรเลย” ความมีสติ ความยับยั้งชั่งใจและความสุขุมรอบคอบของนายทหารรัสเซียรายนี้ เลยทำให้โลกรอดพ้น “สงครามนิวเคลียร์” อันเนื่องมาจากความผิดพลาดของระบบคอมพิวเตอร์มาได้แบบหวุดๆ หวิดๆ...

สรุปเอาเป็นว่า...โดยลักษณะนิสัย ใจคอของบรรดาชาวรัสเซียดังที่ได้หยิบยกมาเป็นตัวอย่างไปแล้วนั้น ไม่ได้ออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือ กระหายสงคราม และไม่ได้ “ปัญญาอ่อน” แบบเด็กทารกเหมือนอย่างบรรดาผู้นำประเทศตะวันตกแต่อย่างใด ดังนั้น...แม้ว่าจะได้ชื่อว่า “ชาตินิวเคลียร์” หรือประเทศที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดในโลกก็ตาม แต่ประเทศนี้ก็ไม่เคยงัดอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ออกมาใช้เอาเลยแม้แต่น้อย มีแต่คุณพ่ออเมริกาของหมู่เฮาทั้งหลายนั่นแหละที่แม้รู้ทั้งรู้ว่าพวกซามูไรญี่ปุ่นเตรียมยอมแพ้ เตรียมยกธงขาวอยู่รอมร่อ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เพื่อที่จะ “โชว์พาว” ให้ใครต่อใครเห็นถึงความเป็น “มหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก” เป็นจ้าวโลก ประมุขโลก อะไรก็แล้วแต่ ก็เลยต้องนำเอาระเบิดนิวเคลียร์ 2 ลูกไปหย่อนใส่หัวกบาลคนญี่ปุ่น จนชีวิตมนุษย์มนาต้องล้มตายเป็นแสนๆ ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคร้ายอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้...ความพยายามยัดเยียดความปราชัยให้กับรัสเซีย หวังจะให้แหลกสลาย ล่มสลายกันไปทั้งประเทศ โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ไม่ได้ใช้ “สมอง” ส่วนใดใคร่ครวญ ตรึกตรองถึง “ผลร้าย” ที่จะตามมาเอาเลยแม้แต่น้อย มันเลยทำให้แนวโน้มสงครามโลกครั้งที่ 3 ชักใกล้จะกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” ยิ่งเข้าไปทุกที!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น