ชาวโลกได้เขยิบเข้าใกล้ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 อีกนิดหลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียได้สั่งให้กองทัพเตรียมซ้อมการใช้อาวุธนิวเคลียร์ด้านยุทธวิธี
คำสั่งเพิ่งออกมาหมาดๆ โดยให้เตรียมเอานิวเคลียร์ระยะใกล้เพื่อตรวจสอบดูว่า มีความพร้อมแค่ไหนถ้าถึงขั้นวิกฤตต้องใช้อาวุธร้ายแรง
นิวเคลียร์ระยะใกล้ มีวงจำกัดแคบและมีเป้าหมายเฉพาะ กระทรวงกลาโหมได้รับคำสั่งเพื่อประสานกับกองทัพเรือและกองทัพอากาศสำหรับการซ้อมรบ
นี่เป็นการโต้ตอบหลังจากมีคำขู่หลายครั้งจากกลุ่มสมาชิกประเทศนาโตว่าจะส่งทหารไปช่วยยูเครนทำศึก โดยเฉพาะผู้นำฝรั่งเศสที่แสดงความกระเหี้ยนกระหือรือส่งทหารเข้าไป
แม้จะมีเสียงคัดค้านจากยุโรปชาติอื่นๆ เช่น เยอรมนี และอิตาลี ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ก็ยังไม่ลดระดับความเฮ้าเลี่ยน อยากแสดงให้เห็นว่าฝรั่งเศสพร้อมจะเป็นผู้นำยุโรป
มาครงได้แสดงความห้าวมาหลายครั้งหลังจากเห็นว่าเยอรมนีมีความอ่อนล้าด้านแสนยานุภาพและเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติที่เคยได้รับจากรัสเซีย
ผู้นำเยอรมนี นายโอลาฟ โชลซ์ ไม่ได้แข็งแกร่งสมกับเป็นผู้นำชาติยุโรป ทั้งขาดประสบการณ์ในการเผชิญวิกฤตด้านการเมืองเพราะอดีตมีอาชีพเป็นนักบัญชี
คำสั่งของปูตินในการพร้อมรบด้วยอาวุธนิวเคลียร์น่าจะเป็นการเขย่าขวัญชาติยุโรปเพราะจะเป็นสมรภูมิแรกในการโจมตีโดยอาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธี
เป็นที่คาดหมายว่าเป้าหมายแรกน่าจะเป็นอังกฤษร่วมกับยุโรปเพราะเป็นด่านหน้าของนาโตและแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อรัสเซียมาโดยตลอด
ยังไม่มีกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าจะเริ่มซ้อมการใช้อาวุธนิวเคลียร์เมื่อไหร่ แต่คำสั่งระบุเพียงว่า “ในอนาคตอันใกล้นี้” แค่นั้น
ปูตินเคยประกาศเสมอว่าถ้าจำเป็น ทางเลือกสุดท้ายคือการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อจัดการกับกองทัพนาโต ซึ่งทุกวันนี้ได้ส่งทหารเข้าไปเป็นที่ปรึกษารวมทั้งมีทหารนอกประจำการเข้าไปรับจ้างรบด้วย
คำประกาศโดยฝ่ายทหารรัสเซียอ้างว่าการวางกำลังอาวุธนิวเคลียร์เป็นการทดสอบภาคปฏิบัติและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งขีปนาวุธซึ่งไม่ติดหัวรบนิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ผู้นำประเทศโปแลนด์บอกว่าพร้อมที่จะรับอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ มาติดตั้งในประเทศเพื่อรับประกันความปลอดภัย ถ้ายูเครนพ่ายแพ้ในสงครามกับรัสเซีย
ประชาชนโปแลนด์คัดค้านความเห็นนี้เพราะจะเป็นการยั่วยุรัสเซียและตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีในลำดับแรกเพราะมีพรมแดนถัดจากยูเครน
ปัจจุบันอังกฤษ ฝรั่งเศสมีอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองแต่สหรัฐฯ ก็มีอาวุธนิวเคลียร์ประจำการในหลายประเทศสมาชิกนาโตเช่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ตุรเคีย
นี่ถือว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งซึ่งโลกมีความเสี่ยงจะเผชิญกับสงครามนิวเคลียร์เพราะการสู้รบระหว่างยูเครนกับรัสเซียสามารถขยายตัวถ้าสหรัฐฯ และกลุ่มนาโตยังส่งอาวุธให้ยูเครนรบกับรัสเซีย
รัสเซียมองว่าการกระทำของสหรัฐฯ และนาโตเป็นการคุกคามความอยู่รอดของประเทศ ดังนั้นอาวุธนิวเคลียร์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จำเป็นต้องใช้
งานนี้ถ้าเป็นการเกทับ มองตาต่อตาจ้องเขม็ง ต้องรอดูว่าใครจะเป็นฝ่ายกะพริบตาก่อน และประเทศไหนในยุโรปจะร้องโวยวายก่อนหลังจากที่เล่นบทห้าวอยากรบกับรัสเซียมานาน
ถึงเวลาพิสูจน์ของจริงว่าใครพร้อมที่จะแตกหักด้วยสงครามอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่มีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
อีกสมรภูมิหนึ่งซึ่งเสี่ยงต่ออาวุธนิวเคลียร์คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์โดยกองทัพอิสราเอล และความเสี่ยงที่จะขยายไปสู้รบกับอิหร่านและประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง
ปากีสถานประกาศก่อนหน้านี้ว่าถ้าอิสราเอลใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีอิหร่าน จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ช่วยเหลืออิหร่านเช่นกัน
ถ้าสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียและอิสราเอลกับอิหร่านลุกลาม อาจกลายเป็นสงครามโลกเกี่ยวโยงกับผู้สนับสนุน ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจมีอาวุธนิวเคลียร์รายใหญ่เช่น สหรัฐฯ รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิสราเอล
อินเดียจะอยู่ข้างฝ่ายใดยังไม่ชัด แต่เป้าหมายอาจจะเป็นปากีสถานซึ่งได้ทำสงครามกันแล้ว 3 ครั้ง
ถ้าถึงขั้นนั้นก็น่าจะเป็นจุดจบของทั้งโลกเพราะฝุ่นจากอาวุธนิวเคลียร์จะบดบังแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน สิ่งมีชีวิตบนโลกอาจจะรอดยากยกเว้นคนหลบอยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน มีอาหารอยู่ได้ระยะหนึ่ง
แต่จะอยู่รอดได้นานแค่ไหน และมีอะไรเหลือ รวมทั้งประชาชน หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะสงครามอาวุธนิวเคลียร์ยังไม่เคยเกิดขึ้น นอกจากระเบิดปรมาณูที่สหรัฐฯ ไปทิ้งสองลูกในเมืองฮิโรชิมะและนางาซากิเท่านั้น
ก็ได้แต่หวังว่ารัสเซียได้ส่งสัญญาณว่าโลกเราคงไม่ไปถึงจุดโลกาวินาศเช่นนั้น