หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
มีคนจำนวนมากที่ลุกขึ้นมาต่อต้านระบอบทักษิณและขับไล่ทักษิณ ชินวัตร ออกจากอำนาจเพราะรับไม่ได้กับความฉ้อฉลของทักษิณ หลายคนบาดเจ็บสูญเสียอวัยวะ หลายคนเสียชีวิตในระหว่างชุมนุมด้วยการปะทะกับตำรวจที่รับใช้ทักษิณ และถูกยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม แกนนำที่ต่อต้านทักษิณส่วนใหญ่ติดคุก และถูกศาลสั่งยึดทรัพย์ต้องล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว ในขณะที่ทักษิณหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ 16 ปี และกลับมามีอำนาจอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง
เรารู้กันอยู่แล้วว่าเบื้องหลังรัฐบาลเศรษฐานั้นอำนาจตัวจริงอยู่ที่ทักษิณ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ต้องการปรับรัฐมนตรี เขาจึงต้องนำเรื่องไปหารือกับทักษิณ หรือถ้าว่าไปแล้วการปรับรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นบัญชาของทักษิณนั่นแหละ เพราะแท้จริงแล้วเศรษฐาเป็นเพียงตัวแสดงในบทบาทนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง หรือพูดว่าเป็นนายกรัฐมนตรีสแตนท์อินก็ว่าได้
ไม่มีประชาธิปไตยในพรรคเพื่อไทย ทักษิณจะให้ใครเป็นรัฐมนตรีจะปลดเข้าปลดออกเป็นอำนาจของเขาคนเดียว แม้จะเป็นรัฐมนตรีได้เพียง 7 เดือนก็ถูกปลดออกได้โดยไม่ต้องถามหาเหตุผล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สวมหมวกเป็นหัวหน้าพรรคลงสู้เลือกตั้งก็ได้รับปูนบำเหน็จความดีความชอบเพียงแค่นั้น สุดท้ายถูกใสหัวออกจากตำแหน่งไปอย่างไม่มีเยื่อใยและต้องยอมรับชะตากรรมนั้นอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะรู้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของทักษิณไม่ใช่พรรคมวลชน
ระบอบทักษิณกำลังกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่นั่งกำกับอยู่หลักฉาก อำนาจอยู่ในมือของทักษิณเพียงคนเดียว ตอนที่ทักษิณมีอำนาจนั้นเขาบริหารประเทศแบบอำนาจนิยม เขาใช้นโยบายประชานิยมในการซื้อใจประชาชน ใช้เงินซื้อพรรคการเมือง ซื้อสส. ซื้อสว. แทรกแซงองค์กรอิสระและฝ่ายตุลาการ กำจัดสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของเขา โยกย้ายข้าราชการเอาคนของตัวขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม ใช้การทุจริตเชิงนโยบายเพื่อเอาความมั่งคั่งกลับไปสู่ธุรกิจของครอบครัว ตอนนี้กลิ่นอายและบรรยากาศแบบนั้นกำลังกลับมาอีกครั้ง
การกลับมาเที่ยวนี้ทักษิณมีอำนาจมากกว่าเก่า ไม่เพียงแต่เขาได้อำนาจรัฐไว้ในมือเท่านั้น แต่เชื่อกันว่าเขาถือ “ดีล” สำคัญในการรับมือกับความท้าทายทางการเมืองของพรรคก้าวไกลต่อระบอบของรัฐ แลกกับการที่เขาไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว และภารกิจต่อไปคือพายิ่งลักษณ์กลับบ้าน
“ดีล”ของทักษิณจึงถูกแลกด้วยการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมลงอย่างย่อยยับ คำพิพากษาของศาลสถิตยุติธรรมไม่มีความหมาย ทักษิณกลายเป็นนักโทษเทวดา ที่ไม่สนใจหัวประชาชนและข้อครหาของการบังคับใช้กฎหมายที่น่าอดสู เขาแสดงออกให้เห็นถึงการไม่สนใจต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการแสดงอาการป่วยทิพย์ที่ถูกมองว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนแบบเย้ยฟ้าท้าดิน เพราะเชื่อมั่นว่า ไม่มีใครที่จะทำอะไรเขาได้ เมื่ออำนาจทั้งหมดกลับมาอยู่ในมือของเขา และรู้ว่าความอยู่รอดของประเทศนี้ต้องพึ่งพาเขา
ตอนนี้ฝ่ายต่อต้านทักษิณก็เสียงแตกแล้ว ทั้งคนที่เห็นด้วยว่า “ดีล” มีความจำเป็นเพราะต้องพึ่งพาทักษิณดีกว่าให้พรรคก้าวไกลมีอำนาจ จนเกิดความขัดแย้งกันเองในหมู่คนที่เคยต่อต้านทักษิณมาก่อน เพราะยังมีคนอีกฝ่ายที่ยังยอมรับระบอบทักษิณไม่ได้ มวลชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณวันนี้จึงอ่อนแอและระส่ำระสายมาก
คอยดูว่าเมื่อมีอำนาจแล้ว ทักษิณจะใช้ตำแหน่งต่างในการตอบแทนคนที่ช่วยเหลือเขาหรือถวายตัวเพื่อรับใช้เขาอย่างสุดลิ่มโดยไม่สนใจเสียงครหาและความถูกต้อง เห็นได้ชัดที่ นายพิชิต ชื่นบาน ที่รู้จักกันนามของทนายถุงขนม ที่เคยถูกศาลจำคุก 6 เดือน ได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ บรรยากาศการทดแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยอำนาจรัฐจะกลับมาอีกครั้งทั้งตำแหน่งทางการเมืองและในระบบราชการ ด้วยคุณสมบัติตอบแทนคนที่ถวายตัวให้ของทักษิณทำให้หลายคนพร้อมจะรับใช้เขาอย่างสุดลิ่ม แม้ที่ผ่านมาจะมีคนหลายคนต้องติดคุกก็ตาม
ถ้าทักษิณไม่เชื่อมั่นในอำนาจและไม่มั่นใจว่าทุกคนจะต้องพึ่งพาเขา ทักษิณคงไม่กล้าที่จะแต่งตั้งพิชิตให้เป็นรัฐมนตรีแน่ แต่นี่เขากล้าเพราะเชื่อมั่นว่า ไม่มีใครที่จะกล้าขัดใจเขานั่นเอง
นอกจากทนายถุงขนมคนที่ถูกจำคุกเพราะรับใช้ทักษิณแล้วเช่น ประชา มาลีนนท์ ที่ยังหลบหนีอยู่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงค์ลี วัฒนา เมืองสุข ชูชีพ หาญสวัสดิ์ วิทยา เทียนทอง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เบญจา หลุยเจริญ บุญทรง ตรียาภิรมย์ ภูมิ สาระผล และข้าราชการอีกหลายคน ระบอบทักษิณจึงเป็นระบอบที่ฉ้อฉลและคดโกงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนไทยจำนวนหนึ่งก็บอกว่า ยอมรับได้ที่รัฐบาลทุจริตเพราะประชาชนได้ประโยชน์ด้วย จากนโยบายประชานิยมที่ทักษิณหยิบยื่นให้นั่นเอง
คนที่เคยติดคุกถ้ายังมีเรี่ยวแรงไม่แก่ชราไปให้คอยดูว่า จะได้รับการปูนบำเหน็จให้กลับมามีบทบาทเพื่อตอบแทนที่รับใช้จนตัวติดคุกที่เราเห็นชัดเจนก็คือ นพ.สุรพงษ์ที่ยังมีบทบาทอยู่ในปัจจุบัน มีหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการปั้นอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ในการผลักดันซอฟท์พาวเวอร์ เพื่อฝึกงานในการก้าวขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต
สิ่งที่เราจะเห็นเมื่อระบอบทักษิณมีอำนาจก็คือ นโยบายประชานิยมซึ่งเป็นเครื่องมือในการซื้อเสียงจากประชาชน โดยไม่สนใจผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว วันนี้คนจำนวนมากก็รอคอยเงิน 10,000 บาท จากรัฐบาลเศรษฐา นโยบายประชานิยมที่ใช้เงินของรัฐซื้อใจประชาชน ไม่มีใครสนใจเสียงท้วงติงและเสียงเตือนจากนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีหน้าที่ควบคุมระบบเศรษฐกิจและกลไกการเงินของประเทศว่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีและได้ไม่คุ้มเสียง แต่ไม่มีวันที่รัฐบาลของระบอบทักษิณจะรับฟัง เพราะเขาเชื่อว่า ประชาชนพอใจที่จะได้รับเงินจากนโยบายของเขาทำไมจะต้องไปสนใจเสียงเตือนว่าจะเกิดความเสียหายเหล่านั้นทำไม
นอกจากการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีและตำแหน่งทางการเมืองให้ม้าใช้เรียบร้อยแล้ว รอดูว่าการจัดสรรตำแหน่งในระบบราชการให้คนที่เป็นพรรคพวกของตัวเอง คนที่พร้อมจะสนองนโยบายแบบไม่เกรงกลัวกฎหมายจะกลับมาอีกครั้งโดยไม่สนใจระบบคุณธรรมความเหมาะสมความรู้ความสามารถ แต่อยู่ที่คุณสมบัติว่าเป็นคนของใครซึ่งเป็นลักษณะด้านลบที่โดดเด่นของระบอบทักษิณ
แต่มีคนบอกว่าการเมืองที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อต่อระบอบของรัฐนั้น ไม่มีทางเลือกมากไปกว่าการพึ่งพาทักษิณ และสลายขั้วที่เรียกตัวเองว่าฝั่งประชาธิปไตยด้วยการโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกล เพราะระบอบทักษิณแม้จะฉ้อฉลต่ออำนาจแสวงหาประโยชน์จากนโยบายเพื่อความมั่งคั่งของตัวเองแต่ไม่เป็นอันตรายต่อระบอบและรูปแบบของรัฐ หวังผลว่าจะชะลอความท้าทายที่ถั่งโถมมาให้ล่าช้าออกไปและทำให้อ่อนกำลังลงในที่สุด แต่ก็มีคำถามเหมือนกันว่า มันคุ้มค่าไหมกับการทำลายกระบวนการยุติธรรมให้ย่อยยับลง และยิ่งตอกย้ำความชอบธรรมของเสียงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงจนพลังของฝ่ายที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงจะยิ่งเข้มแข็งขึ้นหรือไม่
ที่สำคัญจะมั่นใจได้แค่ไหนว่า ระบอบทักษิณเมื่อเห็นว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมกำลังอ่อนแอ แล้วสุดท้ายจะไม่หันไปจับมือกับพรรคก้าวไกล และหากไปถึงวันนั้นก็ยากจะต้านทานและรับมือแล้ว
วันนี้เราเห็นแล้วว่า ระบอบทักษิณกำลังกลับมาอีกครั้ง ทักษิณกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม และทำทุกอย่างแบบที่ตัวเองเคยทำเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมาจนถูกประชาชนออกมาขับไล่ แต่ต่างกันตรงที่วันนี้พลังประชาชนฝ่ายอนุรักษนิยมอ่อนแอลงแล้วไม่เข้มแข็งเหมือนเก่าและขัดแย้งกันเองไม่มีใครมีพลังพอที่จะออกมาต่อต้านระบอบทักษิณอีกแล้ว รวมทั้งมีคนไม่น้อยมองว่า นิ่งเฉยเสียดีกว่าจะออกมาต่อสู้ก็มีแต่สูญเสียหรือไม่ก็ติดคุกติดตาราง จากนี้บ้านเมืองจะเป็นไปอย่างไรก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรม
เมื่อผู้มีอำนาจเลือกแล้วว่า “ดีล” กับทักษิณเป็นทางเลือกที่จะนำไปสู่ทางรอดจากกระแสของความเปลี่ยนแปลงที่เป็นอันตรายต่อระบอบของรัฐ เราก็คงได้รอดูว่า เป้าหมายที่ฝากความหวังไว้กับระบอบทักษิณนั้นจะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างที่คาดหวังได้จริงๆ หรือ