อืมม์…นานๆ จะเห็นการเมืองมีอย่างนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่หายากเมื่อมีคนไม่ยึดติดกับเก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญ เรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุให้มีปัญหาตามมาความสงสัย ความไม่ไว้วางใจ การแย่งชิงอำนาจ เป็นศึกสาแหรกในกลุ่มเจ๊ๆ ซ้อๆ ขาใหญ่ทั้งนั้น
นั่นคือกรณีคุณปานปรีย์ พหิทธานุกร ตัดสินใจโบกมือลาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งตัวเองเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศแต่ถูกยึดเก้าอี้รองนายกฯ ซึ่งหมายความว่าตัวเองจะไปอยู่ใต้คำสั่งใครก็ไม่รู้ดีหรือเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตัวเอง
จากเดิมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นเหมือนผู้บังคับบัญชาคนเดียว ตอนนี้ผู้มาดูแลงานต่างประเทศอาจจะเป็นนักเลือกตั้งสีเทา มีปัญหาด้านภาพลักษณ์ สังคมไม่ให้ราคา ดูแล้วคงจะเป็นอย่างนี้จากรายชื่อรองนายกฯ ชุดใหม่
เป็นการลาออกแบบเฉียบพลันหลังจากประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีของผู้นำขายาวถุงเท้าแดงชุดที่ 2 และไม่ไปแบบธรรมดา บรรยายผลงานที่ทำมาละเอียดยิบ
ทำเอาผู้นำฉุยฉายอีโก้สะเทือน น่าจะฉุนไม่น้อย ต้องฉุยฉายไม่ออกหลายวัน แต่จะทำอย่างไรได้ทำได้อย่างแรกคือเขียนไปขอโทษที่ทำให้ไม่สบาย
ก็น่าจะบอกว่า “ผมไม่มีทางเลือกครับ โดนจับยัด ปฏิเสธไม่ได้”
จากภาพที่เห็นตั้งแต่เริ่มแรกก็ต้องถูกเรียกว่าเป็นคณะรัฐมนตรีจับยัดอย่างว่า และชุดที่ 2 ยิ่งกว่าจับยัด มีทั้งยี้และแย้ หลังลาย คุณภาพไม่น่าเชื่อถือ
ยิ่งพวกหน้าเก่า เขี้ยวลากดิน เกร็ดแตกลายงา หน้าแข็งกว่าเหล็กด้วยแล้ว มาแต่ละครั้งน้ำลายไหลยืด เคลื่อนไหวเมื่อไหร่ เมือกไหลเมื่อนั้น อายุยืนด้วย
ถ้าประเมินแล้วจะเหลือเสนาบดีที่จะพอไปได้เรื่องพฤติกรรมและความน่าเชื่อถือสักกี่ราย ที่น่าอนาถสำหรับการเมืองก็คือคณะรัฐมนตรีจับยัดชุดนี้มาตามใบสั่งที่ท่านขายาวฉุยฉายปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
ตัวท่านฉุยฉายเองก็มาแบบถูกจับยัดเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงมีปัญหาความน่าเชื่อถือความน่าไว้วางใจคงไม่ถึงครึ่ง
เหตุผลต่างๆ ที่คุณปานปรีย์ไม่ได้บอกในจดหมายลาออกก็คือ ไม่ต้องการร่วมทำสังฆกรรมในกระบวนการแจกเงินดิจิทัลกาโม่ 5 แสนล้าน ซึ่งสุ่มเสี่ยงกับการโดนคดีอาญาติดคุกชุดก่อนๆ ก็ออกจากคุก ติดคุกอยู่ก็มี เพราะรับใช้นาย
ที่ผ่านมาคุณปานปรีย์ไม่เคยแสดงความเห็นสนับสนุนโครงการแจกเงินดิจิทัลกาโม่ ยิ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและคณะได้ค้านแล้วค้านอีก ขบวนการดิจิทัลกาโม่ก็ยังไม่แยแสเพราะหวังลาภลอยก้อนใหญ่สู้แล้วรวยนั่นแหละ
เงินจะนำมาแจก 5 แสนล้านบาท จากงบประมาณและธนาคารเพื่อการเกษตรฯ ทำให้เกิดความรู้สึกสยดสยองว่าจะทำให้ธนาคารเสี่ยงต่อปัญหาสภาพคล่อง
ที่สำคัญมีผู้รู้ทันเปิดโปงต่อเนื่องว่าจะมีคณะไอ้โม่งได้กอบโกยผลประโยชน์จากค่านายหน้าอย่างน้อยก็ 3 หมื่นล้านบาท ได้ 3 เปอร์เซ็นต์ ทั้งขาไป ขามา
จะโซ้ยอีกก้อนจากเงินค่าจ้างทำซุปเปอร์แอ๊บแบ๊ว ระดับหมื่นล้านบาท
ผลสุดท้ายเงินดิจิทัลกาโม่ที่จะมีอายุเพียง 6 เดือนจะไหลไปอยู่ในกลุ่มธุรกิจสะดวกเปิบของเจ้าสัวและน่าจะมีส่วนแบ่งปันผลจากเงินก้อนใหญ่จากกลุ่มไอ้โม่ง
นอกจากนั้นคุณปานปรีย์คงไม่อยากรับภาระดูแลเรื่องความพยายามกลับบ้านของอดีตนายกฯ ที่ยังเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ รอจังหวะมาอย่างเท่ ไม่ต้องติดคุก
ดังนั้น เรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการอยากกลับบ้านของหล่อน และแผนจากเงินกาโม่และเงินสด 5 แสนล้านบาท จึงเป็นความอัปยศสำหรับเกียรติภูมิ
คุณปานปรีย์ก็ไม่เดือดร้อนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง มีมากมายไม่จำเป็นต้องดิ้นรน ไม่อยากเสี่ยงกับการติดคุก และความเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
ท่านผู้นำฉุยฉายไม่มีปัญหาเพราะเสียงร่ำลือว่ารัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ก็จะโดนจับยัดเช่นกัน เป็นคนหน้าเก่าเคยทำงานให้ท่านหัวหน้าและเจ้าของขี้ข้ามาแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นแบบแต่งตั้งปุ๊บ ลาออกปั๊บ ทำให้พวกที่ยังอยู่กระเดือกน้ำลายเหนียว ใครจะรู้สึกว่าโดนตบหน้าหรือไม่ไม่ต้องพูดถึง
พวกที่เข้าสู่การเมืองในระบบการมุ่งแสวงหากำไรสูงสุดย่อมไม่กระเทือนต่อสำนึกมโนธรรมที่ไม่เคยมี แต่อย่างน้อยก็เป็นการฟ้องให้ประชาชนได้รู้ว่า พฤติกรรมกังฉิน กินเมืองยังมีอยู่เต็มบ้อง ไล่ไม่ไป เป็นมารแผ่นดินโดยแท้
นี่จะเป็นสัญญาณร้ายสำหรับขบวนการเขมือบเมืองหรือไม่หลังจากผยองลำพองในอำนาจ ย่ำยีกระบวนการยุติธรรม ข้าราชการสุมหัวกันทรยศต่อประชาชน
บ้านเมืองจึงไม่มีความน่าเชื่อถือเมื่อไร้กระบวนการยุติธรรมที่ถูกบงการได้ จะหวังให้นักลงทุนมาได้อย่างไรเมื่อระบบหัวคิวกินเปอร์เซ็นต์ยังแข็งแกร่ง
คำถามที่คนอยากรู้คำตอบก็คือขบวนการกอบโกยทรัพย์สินแผ่นดินจะอยู่รอดได้อีกนานสักแค่ไหน บ้านเมืองต้องเผชิญกับการติดหล่มในเวรกรรมอีกนานไหม
ถ้าหากว่าการไม่เข้าร่วมกับคณะรัฐมนตรีฉุยฉาย 2 ของคุณปานปรีย์จะเป็นตัวกระชากสติของชาวบ้านให้รู้สึกว่าความอยู่รอดของบ้านเมืองเหนือกว่าความต้องการเงินกาโม่ 10,000 บาทต่อราย ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของขบวนการกาโม่
ก็อย่างว่า เชื้อชั่วตายยาก ดีเอ็นเอหลบในเข้ากระดูกดำไปแล้ว สภาพอย่างนี้ยิ่งมีพวกข้าราชการทรยศประชาชนเพื่อตำแหน่ง วาสนาเงินตรา ช่วยเหลือเต็มที่ บ้านเมืองคงต้องถึงวาระมีคนดีเข้ามาขุดรากถอนโคนสักวันหนึ่ง ไม่งั้นล่มจมแน่