หนี่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ผลของนิด้าโพลล่าสุดนั้นบอกว่า การเคลื่อนไหวของทักษิณนั้นไม่ส่งผลใดต่อพรรคเพื่อไทยถึง 40 % บอกว่าทำให้เกิดผลลบถึง 33 % และบอกว่าเป็นผลบวกเพียง 19 % และคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ซูเปอร์โพลบอกว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลมากกว่าคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอยู่ประมาณ 1 เท่าตัว คือ ร้อยละ 37.2 ต่อร้อยละ 17.2 อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุด หรือร้อยละ 45.6 ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น
สะท้อนว่าหากมีการเลือกตั้งพรรคก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้งแน่ๆ แม้ว่านิด้าโพลไม่ได้ถามว่า พรรคไหนจะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่ถามเจาะจงไปที่พรรคเพื่อไทย แต่ก็คาดเดาได้ว่า ถ้าคำถามนี้ถามเจาะจงไปที่พรรคก้าวไกล คนก็จะเชื่อว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะบทบาทของพรรคก้าวไกลถูกมองออกไปต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ และมองว่าการเมืองของคนรุ่นใหม่จะต่างไปจากการเมืองของคนรุ่นเก่า ซึ่งจะจริงหรือไม่ก็จะรู้เมื่อพรรคก้าวไกลได้อำนาจเข้ามาบริหารประเทศ ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิมตามสโลแกนของพวกเขาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูความนิยมจากโพล แม้คนส่วนใหญ่จะเลือกพรรคก้าวไกลมากเป็นอันดับ 1 แต่ก็ไม่มากพอที่จะสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวที่หากจะไปถึงขั้นนั้นพรรคก้าวไกลต้องได้รับความนิยมเกิน 50 % ขึ้นไป เพราะไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เพราะแม้พรรคก้าวไกลจะชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 แต่ก็ไม่มีพรรคไหนยอมเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลจนต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน การเลือกตั้งครั้งหน้าก็คงเช่นเดียวกัน
ถามว่าในอนาคตโอกาสที่พรรคก้าวไกลจะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากเกิน 50 % พรรคเดียวนั้นทำได้ไหม ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก พรรคการเมืองที่เคยทำได้ก็คือพรรคของทักษิณ แต่ตอนนั้นกระแสฟีเวอร์ทักษิณแรงมาก แล้วคิดว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หากจะกลับมาในอนาคตจะทำได้ไหม ผมคิดว่ายากมากนะ เพราะนับวันความสดของทั้งสองคนก็จะหมดไป ความร้อนแรงค่อยๆ ลดลง การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาน่าจะเป็นช่วงพีคที่สุดของพิธาแล้ว ผมเชื่ออย่างนั้น
บางคนอาจจะมองว่า จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาเติมเป็นมวลชนของพรรคก้าวไกลเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่เข้ามาเติบจะมีความคิดไปทางเดียวกันหมด เช่นความคิดของคนรุ่นพ่อแม่รุ่นเบบี้บูมก็มีความคิดอย่างหนึ่ง เจนเอ็กซ์ เจนวายก็มีความคิดอย่างหนึ่ง เมื่อคนรุ่นใหม่ที่นิยมพรรคก้าวไกลกลายเป็นพ่อแม่รุ่นลูกของพวกเขาก็จะมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง เอกลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ทุกยุคก็คือความคิดกบฏต่อความคิดเก่าๆ หมุนเวียนกันไป
พรรคการเมืองเก่าที่เป็นพรรครัฐบาลอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่อยู่ในสายตาของคนรุ่นใหม่แน่ แม้จะเปลี่ยนผู้บริหารพรรคให้คนรุ่นใหม่มานำพรรคอย่างพรรคเพื่อไทยที่ให้อุ๊งอิ๊ง แพทองธารมาเป็นหัวหน้าพรรค และให้ลูกของเสนาะ เทียนทอง สรวงศ์ มาเป็นเลขาธิการพรรค มันก็ไม่สามารถแปรเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่เพื่อซื้อใจของรุ่นใหม่ได้ เป็นเพียงคราบไคลของพรรคการเมืองรุ่นเก่าเท่านั้นเอง
นอกจากคนหนึ่งเป็นลูกของทักษิณและลูกของเสนาะแล้ว คุณสมบัติของคนทั้งสองสู้ไม่ได้กับขุมกำลังคนสำคัญของพรรคก้าวไกลในเกือบทุกด้าน มองไม่เห็นจุดเด่นของอุ๊งอิ๊งเลยว่าอยู่ตรงไหน
มีแต่ไพศาล พืชมงคล ที่พยายามบอกว่า การสร้างอุ๊งอิ๊งขึ้นมาคือ โมเดลเดียวกับสิงคโปร์ คือไพศาลจะพยายามเทียบว่า ทักษิณคือ ลีกวนยู เศรษฐา คือ โก๊ะจ๊กตง แล้วอุ๊งอิ๊งก็คือ ลีเซียนลุง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าขบขันมาก แต่ไพศาลก็คือ ไพศาล ลองคิดดูว่าลีกวนยูเป็นรัฐบุรุษของสิงคโปร์แล้วทักษิณเป็นอะไร อุ๊งอิ๊งมีอะไรที่จะกลายเป็นลีเซียนลุงได้ต่อให้บ่มเพาะให้สุกงอมกว่านี้
แต่อาจจะโชคดีที่กระแสของพรรคก้าวไกลอาจจะไม่พุ่งไปถึงจุดพีคที่จะชนะเลือกตั้งแบบพรรคเดียวกวาดที่นั่งเกินครึ่งได้ นับวันความร้อนแรงของพรรคก้าวไกลจะค่อยๆ ลดลง เพียงแต่ถ้าไม่มีพรรคใหม่ที่สดใสกว่า พรรคก้าวไกลแข่งกับพรรคการเมืองเก่า ๆที่มีอยู่ พรรคก้าวไกลก็อาจจะชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ไปได้อีกสักระยะ เกินจากนี้ไปเลือกตั้งอีกสักสมัยสองสมัยถ้าพวกเขายังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ พวกเขาก็น่าจะค่อยๆ ลดความร้อนแรงลงจากคนรุ่นใหม่พวกเขาก็จะกลายเป็นคนรุ่นเก่า และจะถูกคลื่นลูกใหม่ไล่หลังเหมือนที่พวกเขาเป็นคลื่นรุ่นใหม่ที่ไล่หลังคลื่นลูกเก่าอยู่เช่นทุกวันนี้ ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปตามวาระไม่สะดุดด้วยรัฐประหารผมให้โอกาสพวกเขามากที่สุดอีกสองสมัย ถ้าทำไม่ได้ก็หมดโอกาสแล้ว แต่ยังไงครั้งหน้าก็ยังจะไม่ได้แน่ๆ
การเมืองก็เป็นเหมือนกันทั่วโลกบางยุคกระแสเสรีนิยมมาแรง แต่บางยุคกระแสอนุรักษนิยมก็มาแรง นั่นแสดงว่า ไม่มีกระแสอะไรที่สามารถอยู่ได้ตายตัว ความคิดแต่ละยุคแต่ละสมัยของคนเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุผลและปัจจัยที่แตกต่างกัน นั่นแปลว่า ความคิดของฝ่ายอนุรักษนิยมในปัจจุบันที่กำลังถดถอยไม่สามารถครอบครองกระแสของคนส่วนใหญ่ได้ วันหนึ่งข้างหน้ากระแสอนุรักษนิยมอาจจะกลับมาก็ได้ แต่ขณะเดียวกันเมื่อกระแสหนึ่งพัดพามาอีกกระแสก็จะแข็งขืนตายตัวไม่ได้ สถาบันต่างๆ จะตั้งอยู่ได้ก็ต้องปรับตัวไปตามยุคสมัยทั้งนั้น
ผมจึงเชื่อโพลที่บอกว่า ทักษิณก็ไม่สามารถช่วยฉุดกระแสได้ ยุคสมัยของทักษิณหมดไปแล้ว ที่ยังมีอยู่เป็นเพียงแรงเฉื่อยที่ค่อยๆ หมดกำลังลง เพียงแต่พรรคก้าวไกลยังไม่สามารถชนะใจคนส่วนใหญ่จนชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายอย่างที่ทักษิณเคยทำได้เท่านั้นเอง ประเทศไทยจึงยังโชคดีที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงไม่ให้เหมือนเดิมแบบฉับพลันถ้าพรรคก้าวไกลยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ เพราะความคิดที่ท้าทายต่อรูปแบบของรัฐของพรรคก้าวไกลนั้นไม่มีหลักประกันเลยว่าจะทำให้ประเทศดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นอยู่ มันจึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยกลัวการเปลี่ยนแปลงถ้าพรรคก้าวไกลมีอำนาจ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องโชคดีที่พรรคก้าวไกลแข็งขืนเกินไป เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองฝ่ายเดียวเกินไป ท้าทายต่อรูปแบบอุดมการณ์ และระบอบของรัฐมากเกินไป แม้จะซื้อใจคนรุ่นใหม่ได้จำนวนมาก แต่ไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นดีเห็นงามได้ พรรคก้าวไกลแสดงตัวชัดเจนในการสนับสนุนการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมบนท้องถนนเพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ที่แฝงเป้าหมายที่ไปไกลกว่านั้น การเรียกร้องที่ก้าวร้าวรุนแรงให้ลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์เป็นเพียงบันไดก้าวแรกของพวกเขาเพราะข้อจำกัดในความผิดต่อกฎหมาย
คนรุ่นใหม่กำลังต้องการอัศวินคนใหม่ แต่สำหรับคนที่เขาไม่เห็นด้วยนั้นเขามองว่า สถาบันกษัตริย์มีคุณค่าและมีคุณูปการต่อสังคมไทยมากกว่านักการเมืองอย่างเทียบกันไม่ได้
แน่นอนว่า คนหนุ่มสาวยุคนี้กระตือรือร้นทางการเมืองมากขึ้นให้ความสำคัญกับประเด็นความยุติธรรมทางสังคม เช่น ความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ สิทธิทางเพศ สิทธิของ LGBTQ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม พวกเขาสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมความยุติธรรม ความเสมอภาค และการไม่แบ่งแยก พวกเขาแสวงหาผู้นำที่ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ และแก้ไขปัญหาที่สำคัญสำหรับพวกเขา พวกเขาจึงมองนักการเมืองรุ่นเก่าและพรรคการเมืองเก่าด้วยความสิ้นหวังและคิดว่าพรรคก้าวไกลคือความหวังของพวกเขา
คนหนุ่มสาวมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนนโยบายที่ก้าวหน้าในประเด็นต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสวัสดิการสังคม พวกเขามีแนวโน้มที่จะยอมรับแนวคิดที่ท้าทายสภาพที่เป็นอยู่และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมที่เป็นนวัตกรรม พวกเขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อมีส่วนร่วมในการเมือง แบ่งปันข้อมูล และจัดระเบียบความเคลื่อนไหว โซเชียลมีเดีย ฟอรัมออนไลน์ และเครื่องมือดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทัศนคติและพฤติกรรมทางการเมืองของพวกเขา และนี่เองที่ทำให้พวกเขาสามารถครอบครองกระแสในสังคมปัจจุบันได้
แต่คนรุ่นใหม่จะไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังโดยการทำลายล้างสังคมและค่านิยมแบบเก่าไม่ได้ เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือความรุนแรง และหากไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงขึ้นในสังคมก็ต้องปรับตัวเข้าหากันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่สังคมเก่ากับสังคมใหม่นั่นคือ ทุกฝ่ายต้องเรียนรู้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่เคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan