อย่างที่ว่าไว้ในช่วงเปิดฉากสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านมานั่นแหละทั่น!!!...ว่าถึงแม้อิหร่านเขาไม่คิดจะตอบโต้-เอาคืนกับการที่อิสราเอลส่ง “ของเด็กเล่น” มาโจมตีดินแดนอิหร่านเมื่อไม่กี่วันมานี้ อันทำให้ “แนวรบตะวันออกกลาง” พอได้เพลาๆ ความร้อนแรงลงไปมั่ง แต่ถ้าหากมอง “ภาพรวม” หรือมองถึง “แนวรบ” ทุกๆ ด้าน โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะบรรเทาเบาบางลงไปแม้แต่เล็กๆ-น้อยๆ ก็แทบมองไม่เห็นเอาเลย แนวโน้มแห่ง “สงครามใหญ่” “สงครามที่แท้จริง” หรือจะเรียกว่า “สงครามโลก” ก็คงพอได้ มันค่อยๆ ปรากฏให้เห็นอย่างเป็นที่ชัดเจน จนเป็นอะไรที่แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...
โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐสภาอเมริกัน...เขาได้ผ่านกฎหมายงบฯ ช่วยเหลือประเทศต่างๆ ประมาณ 95,000 ล้านดอลลาร์ แบ่งไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน 60,000 ล้านดอลลาร์ ช่วยให้อิสราเอลสามารถ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” บรรดาชาวปาเลสไตน์ได้อย่างมันส์ส์ส์มือ-มันส์ส์ส์ตีนอีกต่อไปราวๆ 14,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือคงหนีไม่พ้นช่วยเหลือไต้หวันหรือแม้แต่ “ดาวยั่วดวงใหม่” อย่างฟิลิปปินส์ อันย่อมส่งผลให้ “แนวรบ” ทุกๆ ด้าน ไม่ว่ายุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และทะเลจีนใต้ มีแต่จะร้อนฉ่า-ร้อนแรงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรืออย่างที่ประธานสภาฯ พรรครีพับลิกัน “นายMike Johnson” ที่พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อความอยู่รอดของ “ตัวกูเอง” ออกมาแฉลบออกข้างให้เหตุผล ข้ออ้าง ว่าเหตุที่ต้องปล่อยให้กฎหมายดังกล่าวผ่านสภา ก็เพื่อต่อต้านพวก “อักษะแห่งปิศาจ” (Axis of Evil) อันได้แก่จีน-รัสเซีย-และอิหร่านนั่นเอง...
ชนิดที่ทำให้ “นางแบก” อย่าง สส.รัฐฟลอริดา “นางMarjorie Taylor Greene” ผู้ถือเป็นสาวกของ “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอดยังอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาสรุปให้เหยี่ยวข่าวรุ่นลายครามอย่าง “Tucker Carlson” เอาไว้ถึงขั้นว่า...การอาศัยบรรดาพวก “ตัวแทน” ต่อสู้ให้กับอเมริกา ไม่ว่ายูเครนสู้กับรัสเซียหรือใครต่อใครก็แล้วแต่ เอาไป-เอามาแล้ว...“ไม่ใช่เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศและผลประโยชน์ของอเมริกันชนแต่อย่างใด แต่มันคือความมุ่งหมายของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่พยายามผลักดันให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าใกล้...สงครามโลกครั้งที่ 3 ยิ่งเข้าไปทุกที” ยิ่งถ้าฟังคำอธิบาย ข้อวิเคราะห์จากโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย “นางMaria Zakharova” ยิ่งน่าจะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นไปใหญ่ คือเธอได้แจกแจงไว้เป็นเรื่องๆ เป็นกรณีๆ ไป ว่าการให้ความช่วยเหลือยูเครนสู้กับรัสเซียก็แทบไม่ต่างไปจากการสนับสนุนโดยตรงต่อการ“ก่อการร้าย” นั่นเอง อันเนื่องมาจากความขาดแคลนบุคลากร จนต้องหันไปฉุดกระชากลากถูกให้ผู้หญิงมาสวมเครื่องแบบทหารกันแล้ว แถมยังขาดอาวุธยุทโธปกรณ์ แทบไม่เหลือกระสุนปืนใหญ่ไว้ยิงใครต่อใครอีกต่อไป จนทำให้ความพยายามโจมตี-ตอบโต้รัสเซียของยูเครนในช่วงหลังๆ แทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากการ “ก่อการร้าย” เราดีๆ นี่เอง...
ส่วนการช่วยเหลืออิสราเอล...โดยที่รัฐบาลอเมริกันก็แทบบีบบังคับ ควบคุม อะไรต่อมิอะไรแทบไม่ได้ ไม่อาจใช้อำนาจใดๆ กดดันให้กองทัพอิสราเอลหยุด “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น...การสนับสนุน ส่งเสริม ด้วยการประเคนอาวุธ และประเคนเงินช่วยเหลืออีกนับหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ ก็เลยไม่ต่างไปจากการสนับสนุน ส่งเสริม ให้เกิดความรุนแรงระดับการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่รู้ร้อน-รู้หนาวเอาเลยแม้แต่นิด ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือแม้ต้องเผชิญกับฉากสถานการณ์ความรุนแรง ที่ถูกยกระดับขึ้นไปในแต่ละขั้นถึง 2 ด้าน 2 แนวรบด้วยกัน แต่รัฐบาลอเมริกันยังอุตส่าห์ส่งความช่วยเหลือให้กับไต้หวัน รวมทั้งฟิลิปปินส์ อันส่อเจตนาให้เห็นโดยชัดเจน ว่ามุ่งที่จะ “แทรกแซงกิจการภายใน” ของจีนอย่างตรงไป-ตรงมานั่นแหละเป็นสำคัญ...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ประเทศ “หญ้าแพรก” ในภูมิภาคเอเชีย อย่างไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮา จะมัวแต่ “เบิร์ดๆ-สบายๆ” ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!!! โดยเฉพาะเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ได้มีการประชุมสุดยอด 3 ผู้นำ อันได้แก่ประธานาธิบดีอเมริกัน กับ 2 ผู้นำชาติเอเชียอย่างญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ที่ทำเนียบขาว และได้ออกแถลงการณ์ก่อนหน้าการประชุมด้วยการ “ด่าจีน” พี่เบิ้มแห่งเอเชียอย่างไม่มีชิ้นดี ไม่ว่าการ “ไม่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ” เป็น “ตัวอันตราย” ไปจนถึง “มีพฤติกรรมก้าวร้าว” ฯลฯ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่มุ่งหมายหวังจะใช้ประเทศในอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์เป็น “ดาวยั่วดวงใหม่” หรือเป็น “ยูเครน 2” เท่านั้น แต่ยังพยายามเข้าไปติดตั้งระบบ “ขีปนาวุธพิสัยกลาง” เอาไว้ในประเทศนี้เพื่อหวังตอบโต้กับคุณพี่จีนโดยเฉพาะอีกต่างหาก...
นั่นคือระบบขีปนาวุธที่เรียกย่อๆ ว่า “MRC” (Typhoon Mid-Range Capability) ที่สามารถยิงจรวด “SM-6” หรือจรวด “Tomahawk” ในระดับพิสัยทำการ 1,600-2,500 กิโลเมตร ข้ามไปถล่มแผ่นดินใหญ่ของจีนได้ทุกเมื่อ ไม่ต่างไปจากครั้งที่อเมริกาเคยคิดจะติดตั้งระบบ “THADD” ไว้ในเกาหลีใต้ หรือแบบที่โซเวียตรัสเซียเคยคิดติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ไว้ในดินแดนคิวบา ฯลฯ นั่นเอง คือเท่ากับเป็นการเล็งอาวุธจ่อไว้ที่ปากประตูบ้านของจีนล่วงหน้า และนั่นยังไม่รวมไปถึงการคิดส่งทหารอเมริกันไปประจำการในเกาะ “Kinmen Island” ของไต้หวัน ที่อยู่ห่างไปจากมณฑลฝูเจี้ยนของจีนแผ่นดินใหญ่แค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่ทำให้อุณหภูมิความร้อนใน “แนวรบทะเลจีนใต้” เลยมีแต่เพิ่ม...กับ...เพิ่ม ไม่ได้ทุเลาเบาบางลงไปเลยแม้แต่น้อย แม้รัฐบาลอเมริกันยังคงปวดหัว ปวดกบาลอยู่กับแนวรบอีก 2 ด้าน คือในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางก็ตามทีหรือพูดง่ายๆ ว่า...ถือเป็นการตอกย้ำจุดมุ่งหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ไปในแนวเดียวกับที่ “นางMarjorie Taylor Green” ได้สรุปเอาไว้นั่นเอง คือมุ่งที่จะยกระดับความรุนแรงทุกๆ ด้าน ทุกๆ แนวรบ เพื่อหวังจะฉุดกระชากลากถูให้โลกทั้งโลกจำต้องเข้าสู่ “สงครามโลก” ในท้ายที่สุดจนได้!!!
แม้ว่ารัฐบาลจีนเขาพยายามใช้ “ไม้นิ่ม” หรือพยายามลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพัน ตามคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัวเช่น หันไปจับเข่า จับหัวหน่าว ปรึกษาหารือ ไม่ว่าด้วยการลงทุนคุยโทรศัพท์เกือบ 2 ชั่วโมงเต็มๆ ระหว่างผู้นำอเมริกากับผู้นำจีนเมื่อไม่นานมานี้ หรือพยายามเชื้อเชิญบรรดาผู้บัญชาการกองเรือและเจ้าหน้าที่อาวุโสจากกองทัพเรือจำนวน 180 รายจาก 29 ประเทศทั่วโลก มาร่วมเจ๊าะแจ๊ะเจรจาหาทางที่จะสร้างความสงบ สันติ ตลอดทั่วน่านน้ำแปซิฟิกตะวันตก ในเวทีสัมมนาที่เรียกย่อๆ ว่า “WPNS” (The Western Pacific Naval Symposium) ครั้งที่ 19 ณ จังหวัด “Shandong” ระหว่างช่วงวันอาทิตย์ที่ 21 ถึงวันพุธที่ 24 เม.ย.ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้...คงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น หรือกระเตื้องขึ้นมาเอาเลยแม้แต่น้อย เพราะระหว่างที่กำลังพูดจาเจ๊าะแจ๊ะในวงสัมมนานั้น ก็ตรงกับช่วงเวลาที่กองทัพฟิลิปปินส์และกองทัพอเมริกันกำลังร่วม “ซ้อมรบ” ในปฏิบัติการ “Balikatan” พอดิบพอดี...
และโดยลักษณะท่าทีของรัฐบาลฟิลิปปินส์ภายใต้การนำของทายาทอดีตเผด็จการที่แม้เคยถูกคุณพ่ออเมริกาหักหลังบิดาบังเกิดเกล้าตัวเองจนหลังหัก หลังเคล็ดมาก่อนหน้านั้น อย่าง “นายFerdinand Marcos Jr.” นั้น ก็กลับเป็นไปดังที่ประธานสถาบัน “The Philippine Institute for Peace, Violence, and Terrorism Research” “นายRommel C. Banlaoi” เขาฟันธง ฟันเฟิร์ม ไว้แล้วนั่นแหละว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ละทิ้ง “จุดยืน” แห่งการรักษาสมดุลทางด้านสัมพันธภาพระหว่างอเมริกาและจีน ด้วยการโผเข้าหาอีแร้งอเมริกาแบบเต็มเม็ด เต็มสูบ ทั้งๆ ที่บรรดาชาวฟิลิปปินส์จำนวนไม่น้อย รวมถึงบรรดาประเทศอาเซียนโดยส่วนใหญ่ ต่างไม่เห็นด้วยกับท่าทีดังกล่าวเอาเลยแม้แต่น้อย แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที ฟิลิปปินส์วันนี้...พร้อมแล้วที่จะสวมบท “ดาวยั่วดวงใหม่” ควบคู่ไปกับไต้หวัน ด้วยการนั่งรอพระเอกผ่านมา-ผ่านไปอยู่บริเวณหัวสะพาน ก่อนที่จะโหยหวนครวญครางบทเพลงดาวร้ายหนังไทยรุ่นโบราณ ว่า “อยากจะชิมส้นตีนนัก...อยากจะชิมส้นตีนนัก!!!” อะไรประมาณนั้น...
ความพยายามโหมฟืน โหมไฟพร้อมๆ กันไปใน “แนวรบ” ทุกๆ ด้าน จึงถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมาย จุดมุ่งหมายของรัฐบาลอเมริกันค่อนข้างชัดเจน ว่าต้องการที่จะอาศัย “สงคราม” นั่นเอง!!! เป็นตัวชี้วัดตัดสินภายในขั้นตอนขั้นสุดท้าย อย่างมิคิดจะเป็นไปในแนวอื่น ไม่ได้คิดจะอาศัย “กลไก” หรือ “ช่องทาง” ที่ยังพอเปิดกว้างให้กับ “สันติภาพ” ได้บ้าง แม้แต่เล็กๆ-น้อยๆ ก็ตามที ด้วยลักษณะท่าทีเช่นนี้...ก็จึงไม่ต่างไปจากการส่ง “สัญญาณ” หรือ “คำเตือน” ไปยังประเทศหญ้าแพรกทั้งหลาย ว่ายังไงๆ...คงต้องเตรียมตัวรับมือกับ “สงครามระดับโลก” เอาไว้ล่วงหน้าได้แล้ว ส่วนใครที่ยังคงสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจอยู่กับการ “กัดกันเอง” เป็นการภายใน โอกาสที่จะไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ต้องเตรียมหาน้ำมะพร้าวไว้ล้างหน้าซะแต่เนิ่นๆ ก่อนแบกขึ้นเมรุและกระทำการฌาปนกิจ หรือ “เผาจริง” กันไปเป็นราย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ.