เพียงแค่ 6 วัน...หลังจากถูกอิหร่านสาดโดน-สาดจรวดกว่า 300 ลูกเข้าใส่อิสราเอล ลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอนเลยตัดสินใจ “เอาคืน” แบบชนิด “มึงมั่ง-กูมั่ง!!!” ส่งผลให้ “ราคาน้ำมัน” เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว (19 เม.ย.) พุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆเขยิบขึ้นไปประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่า “Brent” ทะเลเหนือที่ซื้อ-ขายกันที่ 86.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือ “West Texas” อยู่ที่ 82.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล...
ดังนั้น...เพื่อไม่ให้ถึงกับต้อง “หูแหก-ตาแหก” จนเกินไป เปิดฉากสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตไปแลกเปลี่ยนเรื่อง “แนวรบตะวันออกกลาง” กันต่ออีกสักเล็กๆ น้อยๆ ว่าการแก้แค้น เอาคืน โจมตีตอบโต้ในแบบชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านนั้น มันจะไปไกลถึงขั้นกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี กันเลยหรือไม่? อย่างไร? หรือจะเป็นเพียงแค่ความพยายาม “แก้เขิน” ความพยายาม “เก็บอาการ” แบบประเภทนักมวยอังกฤษแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวทที่เคยโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อช่วงกว่า 30 ปีที่แล้ว (ค.ศ.1992-2002) ผู้มีนามกร มีชื่อ-ฉายาว่า “Prince Naseem Hamed” นั่นแหล่ะ...
คือในขณะที่ขึ้นฟาดปากกับนักมวยหมัดหนักชาวเม็กซิกัน ผู้มีนามกรว่า “Marco Antonio Barrera” ระหว่างกำลังไล่ทุบ ไล่ชกนักมวยเม็กซิกันอยู่เพลินๆ ดันเจอหมัดสวน “เปรี้ยง!!!” เข้ากระโดงคาง เล่นเอาหยุดชะงักเอาดื้อๆ หมัดห้อย ตาลอย ฟันยางกระเด็น ชนิดถ้ากรรมการนับถึง 8 ถึง 9 ก็ยังไม่น่าจะรู้ว่าฟื้นคืนสติกลับมาได้ตอนไหน? แต่ด้วยเหตุเพราะเป็นผู้มีความสามารถในการ “เก็บอาการ” ได้อย่างยอดเยี่ยมเอามากๆ ก็เลยหันมา “แก้เขิน” ด้วยการแลบลิ้น ปลิ้นตาหลอก หันมาพยักเพยิดกับคู่ต่อสู้ คล้ายๆ ว่าอยากจะ “เอาอีกๆ” หรืออยากโดนอีกสักหมัด-สองหมัด อะไรประมาณนั้น ส่งผลให้ไอ้หมัดดินระเบิดชาวเม็กซิกัน ขว้างหมัดซ้ายเข้าที่บริเวณขมับ แล้วทิ่มหมัดขวาเข้าที่ปากครึ่ง-จมูกครึ่ง จนต้องหงายผลึ่งลงไปนอนแอ้งแม้งคาเวที ดีที่ “ระฆังช่วย” ไม่งั้นก็อาจถึงขั้น “น็อก” ไปแล้วตั้งแต่ยกนั้น!!!
อันนี้นี่เอง...ที่แทบไม่ต่างไปจากการสาดโดรน-สาดจรวดกว่า 300 ลูกของอิหร่าน ในปฏิบัติการ “เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน” (Operation True Promise) เขานั่นแหละ เมื่อช่วงวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา คือถึงแม้อิสราเอลออกมาคุยโม้ คุยโต ว่าสามารถรับมือได้หมดถึง 99 เปอร์เซ็นต์ แต่อีก 1 เปอร์เซ็นต์ หรือจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ ที่มันสามารถเจาะผ่านระบบป้องกันภัยทางอากาศ “Iron Dome” ของอิสราเอล และบรรดา “ตัวช่วย” อีกไม่รู้กี่ต่อกี่ประเทศ จนไปหล่นใส่ฐานทัพอากาศ “Nevatim Air Base” ฐานประจำการเครื่องบิน “F-35” ในทะเลทราย “Negev” หรือในแถบที่ราบสูงโกลันก็แล้วแต่ มันน่าจะส่งผลให้อิสราเอล “อ่วมอรทัยกาญจนชูศักดิ์” อยู่พอสมควร หรือคงไม่ต่างไปจากครั้งการล้างแค้น-เอาคืนของอิหร่าน ในกรณีการลอบสังหาร “พลเอกQasem Soleimani” เมื่อปี ค.ศ. 2020 ที่เล่นเอาทหารอเมริกันในฐานทัพ “al-Asad” ด้านตะวันตกของประเทศอิรัก รวมทั้งที่ฐานทัพ “Erbil” ในดินแดนชาวเคิร์ด ต้อง “หูดับ-ตับไหม้” กันไปเป็นร้อยๆ ชนิดถึงกับต้องส่งกลับไปรักษาตัวที่ประเทศอเมริกากันโน่นเลย!!!
ด้วยเหตุนี้...แชมป์เฟเธอร์เวทอย่าง “Prince Naseem Hamed” หรือแชมป์แห่งการรบการเข่นฆ่าล้างผลาญอย่างอิสราเอลผู้มีความเชี่ยวชาญในการ “เก็บอาการ” เขาเลยคงต้องแลบลิ้น ปลิ้นตาหลอก ทำท่าพยักหน้าหงึกๆ แบบ “ขออีกๆ” ไปตามทางมวยรูปมวยอย่างมิอาจปฏิเสธนั่นเอง การตอบโต้-เอาคืนต่ออิหร่านเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมามันเลยไม่ถึงกับ “ตึงตัง-โครมคราม” มากมายสักเท่าไหร่ แถมออกจะหนักไปทาง “เปาะๆ-แปะๆ” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน คือนอกจากจะไม่ได้ออกมายืนยัน นั่งยัน ว่าเป็นฝีมือของตัวเองอย่างเป็นทางการ การระเบิดแถวๆ บริเวณหน่วยงานความมั่นคงที่เมือง “Isfahan” และเมือง “Tabiz” ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน ก็แทบไม่ได้ก่อให้เกิดความพังพินาศ เสียหายมากมายสักเท่าไหร่นัก เครื่องบินที่ถูกสั่งห้ามบินขึ้น-บินลงในช่วงก่อนหน้านั้น ก็กลับมาเริ่มต้นปฏิบัติการได้อย่างเป็นปกติ ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง อีกทั้งโดยคำแถลงของบรรดาผู้นำทางทหารไปจนถึงรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายHossein Amir-Abdollahian” ก็ดูจะออกไปทาง “ชิลล์ล์ล์ๆ” ด้วยกันทั้งสิ้น...
คือถ้าคิดจะลงมือ-ลงตีนกันแบบจริงๆ จังๆ...หรือแบบคิดจะโจมตี “โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน” ดังที่เคยได้ป่าวประกาศเอาไว้ก่อนหน้านั้น มันคงต้องออกเรี่ยว-ออกแรงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ในเมื่อผู้บัญชาการทหารแห่งกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม “IRGC” อย่าง “พลเอกAhmad Haghtalab” ท่านได้ออกมาขู่คำรามไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าหากอิสราเอลคิดโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่านขึ้นมาเมื่อไหร่... “ทำเลที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิสราเอลถูกเราค้นพบเรียบร้อยแล้ว จนทำให้เรามีข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเกี่ยวกับเป้าหมายต่างๆ ที่เราต้องการ และนิ้วมือของเราอยู่บนไกปืน พร้อมแล้วที่จะลั่นไกปล่อยขีปนาวุธอันทรงพลังเพื่อทำลายล้างเป้าหมายเหล่านั้น” อันนี้...ก็อาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้การตอบโต้อิหร่านเที่ยวนี้เลยออกไปทาง “เปาะๆ แปะๆ” หรือเป็นเพียงการส่งโดรนบินไปยังพื้นที่เป้าหมายแค่ไม่กี่ลำ และถูกอิหร่านเขา “สอยร่วง” ชนิดลำแล้ว-ลำเล่า...
ยิ่งไปกว่านั้น...การคิด “เปิดศึก” กับพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างอิหร่านแบบจริงๆ-จังๆ ยังไงๆ มันคงต้อง “ลากยาวว์ว์ว์” ยิ่งกว่าการเปิดศึกกับพวก “Hamas” ในเขตฉนวนกาซาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ที่แม้ว่าปาเข้าไป 7 เดือนเข้าไปแล้ว ก็ยังแทบไม่รู้หมู่-รู้จ่า-รู้สารวัตรแต่อย่างใด และนั่นย่อมต้องส่งผลให้ “เศรษฐกิจอิสราเอล” ที่ทำว่า “ใกล้พัง” เต็มที ยิ่งมีแต่ “เจ๊ง-กับ-เจ๊ง” ยิ่งขึ้นไปใหญ่ เพราะขนาดเริ่มเปิดศึกกับพวก “Hamas” แค่ไม่เท่าไหร่ ช่วงเดือนกุมภาฯ ที่ผ่านมา สถาบันจัดอันดับเครดิต “Moody” เขาถึงกับต้องตัดสินใจปรับลดเครดิตเศรษฐกิจอิสราเอลลงไปแบบฮวบๆ ฮาบๆ และล่าสุด...เมื่อวัน-สองวันมานี้ หรือก่อนหน้าที่อิสราเอลคิดจะเอาคืนอิหร่าน สถาบันจัดอันดับเครดิต “S&P” ก็ออกมาปรับลดเครดิตเศรษฐกิจอิสราเอลซ้ำขึ้นไปอีก หรือจาก “AA-/A-1+” เหลือแค่ “A+/A-1” ไปจนได้...
อันเนื่องมาจากตัวเลขดัชนีชี้วัดในแต่ละชนิด มันออกไปทางน่าห่วง น่ากังวล เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าตัวเลขเงินลงทุนต่างประเทศที่หายวับไปกับตาถึง 60 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2023 หรือลดลงไปถึง 28.7 เปอร์เซ็นต์ตลอดช่วงปี ค.ศ. 2023 ค่าเงิน “Shekel” เสื่อมค่าลงถึง 4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ หนี้สินของรัฐบาลทำท่าว่าจะขยายตัวขึ้นไปถึง 66 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” ไม่เกินไปกว่าปี ค.ศ.2026 ขณะที่ลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอนทั้งอิสราเอลภาคเหนือและภาคใต้แทบไม่อาจทำมาหารับประทาน ด้วยเหตุเพราะภาวะสงครามระเบิดเถิดเทิงอยู่รอบด้าน แถมเฉพาะแค่การปัดเป่า ปัดป้อง จรวดและโดรนจากอิหร่านเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้นเอง กองทัพอิสราเอลยังต้องทุ่มเทเงินทองไปไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ถ้าว่ากันตามตัวเลข สถิติ ของนักเศรษฐศาสตร์อิสราเอลเอง หรือ “ศาสตราจารย์Benjamin Bental” แห่ง “Emeritus of Economics” มหาวิทยาลัย “Haifa” อันนี้...ยิ่งทำให้การคิดจะเปิดศึกกับอิหร่านย่อมนำไปสู่ความ “เจ๊ง-กับ-เจ๊ง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงใดๆ ได้เลย!!!
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือบรรดาประเทศต่างๆ ไม่ว่าประเภทพันธมิตรที่ใกล้ชิดหรือไกลห่างจากอิสราเอล ต่างออกอาการ “ไม่เห็นควรด้วย” กับการขยายวงสงคราม ขยายความขัดแย้งไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี จีน รัสเซีย เนเธอร์แลนด์ ยูเออี อียิปต์ ตุรเคีย จอร์แดน สวีเดน ฯลฯ เพราะภายใต้ภาวะที่ “เศรษฐกิจของโลกทั้งโลก” ต่างกรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชรไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง ถ้าหากความขัดแย้งในตะวันออกกลางลุกลามลามปาม ไปถึงขั้นที่ทำให้ประเทศที่มีขีดความสามารถในการควบคุมเส้นทางขนส่งน้ำมันระดับ 25 เปอร์เซ็นต์ของโลก ตัดสินใจปิดช่องแคบ “Hormuz” ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่ราคาน้ำมันจะเตลิดเปิดเปิงทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไปอีกกี่ร้อยต่อกี่ร้อยก็มิอาจคาดคะเนได้ ย่อมสามารถอุบัติขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
ดังนั้น...แม้แต่พันธมิตรที่ใกล้ชิดแบบสุดๆ อย่างคุณพ่ออเมริกา ผู้พร้อมปิดหู ปิดตา สนับสนุนส่งเสริมอิสราเอลแบบไม่คิดบันยะบันยัง ยังต้องหันไปใช้ “ยาสีฟันไกลห่าง” กันเห็นๆ ต้องคอยถ่วง คอยรั้ง ไม่ให้อิสราเอลกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีเกินไปกว่านี้ เพราะที่สำคัญเอามากๆ ก็คือว่า...ยิ่งความขัดแย้งในตะวันออกกลางขยายตัวยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึง “ความเสื่อม” ของอเมริกาอย่างถนัดชัดเจน คือแทบไม่อาจใช้ “อำนาจ-อิทธิพล” ใดๆ แม้แต่การระงับยับยั้งความบ้าความคลั่งของผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” รวมทั้งศัตรู-คู่กัดอย่างอิหร่านได้เลยแม้แต่น้อย แถมบรรดาพันธมิตรที่ตัวเองสามารถจัดตั้ง “ฐานทัพ” ขึ้นมาในภูมิภาคแห่งนี้ ก็ยังไม่พร้อมที่จะเออออ-ห่อหมกกับอเมริกาไปซะทุกเรื่อง-ทุกราว ด้วยเหตุนี้...ยิ่งถ้าปล่อยให้ความขัดแย้งถูกขยายวงยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเท่ากับเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึง “ความเสื่อม” ของอเมริกายิ่งขึ้นไปเท่านั้นเอง...
สรุปรวมความแล้ว...บรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย คงไม่ถึงกับต้องหูแหก-ตาแหกจนเกินไป สำหรับรายการแก้แค้น-เอาคืนแบบ “tit-for-tat” หรือแบบ “มึงมั่ง-กูมั่ง” ของอิสราเอลและอิหร่าน ที่คงไม่น่าจะมีอะไรเลยเถิด เลยธง เกินไปกว่านี้ แต่นั่นคงไม่ได้หมายความว่าการ “ยืดเวลาออกไป” จะทำให้โอกาสแห่ง “สันติภาพ” มีความเป็นไปได้มากขึ้นแต่อย่างใด เพราะโดยแนวโน้มของ “แนวรบ” ในแต่ละด้าน มันออกจะหนักไปทางการยืดเวลาเพื่อเตรียมตัวรับมือกับ “สงครามใหญ่” หรือ “สงครามที่แท้จริง” อันจะเป็นตัวชี้วัด-ตัดสินกันในขั้นตอนสุดท้าย...นั่นแล!!!