อิสราเอลจะสามารถสกัดกั้น ป้องกัน จรวดและโดรนนับเป็นร้อยๆ ของอิหร่านได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ หรืออิหร่านจะประสบความสำเร็จเป็นที่พออก-พอใจในปฏิบัติการ “เราจะทำตามสัญญา-ขอเวลาอีกไม่นาน” (Operation True Promise) กันในแบบไหน? ลักษณะไหน? อันนั้น...คงไม่ถึงกับต้องเสียเวลาไป “แมนยูฯ-ลิเวอร์พรุน” หรือต้องเถียงกันไป-เถียงกันมา เชียร์กันไป-เชียร์กันมา แบบประเภทสาวกผีแดง-หงส์แดง ให้ปวดหัว-เวียนเฮด โดยใช่เหตุ...
เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...นับจากนี้แนวโน้มความเป็นไปของฉากสถานการณ์ใน “แนวรบตะวันออกกลาง” มันจะออกมาในรูปไหน? อย่างไร? จะก่อให้เกิด “ผลกระทบ” ต่อโลกทั้งโลกมาก-น้อยเพียงใด? อันนี้นี่แหละ...ที่บรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย พึงต้องเพ่งความสนใจไว้ให้จงหนัก โดยเฉพาะในขณะที่ราคาน้ำมันทำท่าว่าจะเด้งพรวดๆ พราดๆ ในระดับเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ หรือขณะที่ราคาทองคำปาเข้าไปบาทละ 3-4 หมื่น จนบรรดาผู้ที่มีทองเท่าหนวดกุ้งอดมิได้ที่จะนอนสะดุ้งจนเรือนไหวไปตามๆ กัน...
คือการที่ฝ่ายอิสราเอลเขาจะออกมาคุยโม้ คุยโต ว่าสามารถปัดป้อง สกัดกั้นจรวดร่อน จรวดทิ้งตัวได้ถึง 130-150 ลูก ไปจนถึงโดรนพลีชีพอีก 170 ลำ หรือได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากลองทำใจนิ่งๆ คำคุยโม้ คุยโต ในลักษณะดังกล่าวก็คงไม่ถึงกับเป็นอะไรที่ “เปรี้ยวหู” ไม่ถึงกับ “เวิ่นเว้อ” หรือไม่น่าจะ “สมรักษ์ คำสิงห์” มากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะบรรดา “ตัวช่วย” ที่คอยช่วยปัด ช่วยป้อง บรรดาอาวุธต่างๆ ของอิหร่านในแต่ละลูก แต่ละเม็ด เที่ยวนี้ คงต้องยอมรับว่า...มันมีอยู่ด้วยกันเยอะแยะ มากมาย ไม่ใช่แค่ระบบป้องกันภัยทางอากาศ “Iron Dome” ของอิสราเอลล้วนๆ แต่ยังมีเครื่องบินกองทัพอากาศอังกฤษในซีเรีย ฐานทัพอเมริกันในอิรัก ซีเรีย ไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน หรือแม้แต่ประเทศในตะวันออกกลางบางประเทศเช่น จอร์แดน ซาอุฯ ยังมีข่าวว่ามีส่วนช่วยสกัดกั้น “วัตถุต้องสงสัย” ที่ผ่านไป-ผ่านมาภายในน่านฟ้าตัวเอง อย่างเป็นเรื่อง-เป็นราวอีกด้วย...
อย่างไรก็ตาม...การที่ฝ่ายอิหร่าน อย่างเช่นผู้บัญชาการ “IRGC” นายพล “Hossein Salami” ท่านออกมาป่าวประกาศถึง “ความสำเร็จที่มากซะยิ่งกว่าที่เคยคาดหวังเอาไว้” (more successful than expected) ของการแก้แค้น-เอาคืนคราวนี้ ก็ไม่น่าจะถึงกับเปรี้ยวหู เวิ่นเว้อ หรือสมรักษ์ คำสิงห์แต่อย่างใด เพราะแม้จะเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ หรือจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ ที่ตูมๆ ตามๆ ขึ้นมา ณ ฐานทัพอากาศ “Nevatim Air Base” ของอิสราเอลในทะเลทราย “Negev” อันถือเป็นฐานประจำการของเครื่องบิน “F-35” ที่ถูกส่งเข้าไปทิ้งระเบิดถล่มสถานกงสุลอิหร่านในดินแดนซีเรียนั่นแหละ ชนิดสามารถเห็น “ไฟนรก” แดงโร่จากภาพถ่ายวิดีโออย่างเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ก็ต้องถือว่าน่าจะพอคุยได้ โม้ได้ อย่างไม่ถึงกับเปรี้ยวปากมากมายจนเกินไป...
แต่สิ่งที่ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ นับจากนี้...ก็คือ “แล้วคราวนี้จะเอาไง???...กันต่อไป” จะถือเป็นการโดดเข้าสู่ “กับดัก” ของอิหร่าน ซึ่งถูกผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” วางล่อเอาไว้ เพื่อที่จะขยายวงสงคราม ขยายวงความขัดแย้ง อันจะช่วยให้ “ตัวกูเอง” สามารถครองอำนาจ ครองความเป็นผู้นำอย่างยืดเยื้อ-ยาวนานอีกต่อไป หรือกระทั่งการฉุดกระชากลากถู ให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาเข้ามาร่วมฉิบหาย-วายวอดกับตัวเองไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? โดยถ้าฟังจาก “รายงานข่าว” ของสำนักข่าว “Axios” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 เม.ย.) ถึงการพูดจาเจ๊าะแจ๊ะทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำอิสราเอลและผู้นำอเมริกา หลังการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน แม้ว่านายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” คิดจะโจมตี-ตอบโต้อิหร่านโดยฉับพลัน-ทันที แต่ก็ได้ตัดสินใจ “ยกเลิก” ความคิดดังกล่าว หลังพูดคุยกับคุณปู่ “โจ ซึมเซา” อย่างเสียมิได้ หรือมิอยากจะเสีย ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
แต่จาก “รายงานข่าว” ลักษณะดังกล่าว...คงต้องยอมรับว่าน่าจะมี “น้ำหนัก” อยู่ไม่น้อย เพราะแม้แต่หนึ่งในรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอล “นายBenny Gantz” หัวหน้าพรรค “ฟ้า-ขาว” ที่อาจผงาดขึ้นมาแทนที่ “นายNetanyahu” ถ้ามีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในอิสราเอลไม่ว่าเมื่อไหร่? ตอนไหน? แม้ว่ายังคงต้องเอาอก-เอาใจต่อความรู้สึกของชาวอิสราเอลโดยทั่วไป ยังต้องแสดงออกถึงความไม่คิดจะลดรา-วาศอกกับอิหร่านอีกต่อไป แต่โดยคำพูด คำให้สัมภาษณ์ที่สรุปเอาไว้ประมาณว่า “เรายังต้องสร้างสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคและบีบบังคับให้อิหร่านต้องชดใช้ราคาแพงต่อการโจมตีอิสราเอลคราวนี้ ภายในรูปแบบและช่วงเวลาที่เหมาะสม...” ก็น่าจะแปลความ ตีความ ได้ว่า ปฏิบัติการ “Operation True Promise” ของอิหร่านต่ออิสราเอลคราวนี้ คงไม่ถึงขั้นที่ทำให้อิหร่านถึงกับต้อง “ติดกับดัก” ของ “นายBenjamin Netanyahu” แต่อย่างใด หรือยังมีเวลาที่จะ “โดดหนี” ได้อีกเยอะแยะ...
อาจด้วยเหตุเพราะการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่านคราวนี้...ไม่ได้เป็นไปแบบถึงขั้น “ต้องฉิบหาย...กันไปข้าง!!!” แต่น่าจะหนักไปทาง “แค่การตบหน้าสั่งสอน” (just a slap in the face) ซะมากกว่า หรือแบบที่ผู้นำสูงสุดของอิหร่านท่านอิหม่าม “Ayatollah Seyyid Ali Khamenei” ท่านได้ชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ก่อนหน้านี้ คือพอให้เห็นว่าอิหร่านก็พอจะมีมือ-มีตีนและไม่ได้คิดจะซุกมือ-ซุกตีนเอาไว้ในหีบเฉยๆ ตราบใดที่ถูกเล่นงาน ถูกละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพระหว่างประเทศ เช่นการถล่มสถานทูต สถานกงสุลแบบเห็นๆ อีกทั้งกระบวนการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ก็มิได้มุ่งแต่เฉพาะ “การทหาร” ล้วนๆ แต่ยังพร้อมที่จะอาศัย “การเมืองและการทูต” ควบคู่กันไป เช่นการประชุมฉุกเฉินในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เพื่อหาทางออก-ทางไป เป็นต้น...
ดังนั้น...โอกาสที่จะก่อให้เกิด “เงื่อนไข-เหตุปัจจัย” ที่จะนำไปสู่การโจมตี-ตอบโต้ ไม่ว่าจากอิสราเอลผู้เริ่มต้นก่อเหตุ ก่อเรื่อง หรือจากผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ดูจะไม่สมเหตุ-สมผล หรือไม่น่าจะลากไปไกลถึงขั้นนั้น โดยเฉพาะในช่วงระหว่างที่เพียงแค่ “สงครามอิสราเอล-ฮามาส” เท่านั้น ก็ก่อให้เกิดความปวดเศียร เวียนเกล้า ต่อคุณพ่ออเมริกาที่ยังคงต้องส่งเงิน ส่งอาวุธ ไปสนับสนุน “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอลอยู่มิขาด แม้ว่าพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ชาวปาเลสไตน์จะถูกเข่น ถูกฆ่า ถูกล้างผลาญเผ่าพันธุ์ ชนิดตายโหง-ตายห่าไปแล้วไม่รู้จะกี่หมื่นต่อกี่หมื่นราย อันส่งผลให้ “คะแนนนิยม” ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปลายปีนี้ของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” หดหายไปไม่รู้จะกี่รัฐต่อกี่รัฐเข้าไปแล้ว แถมยังทำให้สถานะประเทศอเมริกาในสายตาชาวโลก ออกไปทาง “โดดเดี่ยว-โฮมอโลน” ยิ่งเข้าไปทุกที...
ด้วยเหตุนี้แม้จะเคยป่าวประกาศด้วยความภูมิอก-ภูมิใจว่าตัวเองคือ “Zionist ตัวพ่อ” ก็เถอะ...แต่ความพยายามสนับสนุนอิสราเอลแบบปิดหู-ปิดตา หรือแบบไม่คิดจะบันยะ-บันยังใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ผู้นำอิสราเอลขยายความขัดแย้ง ขยายวงสงครามต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมส่งผลให้ “ตัวกูเอง” รวมทั้ง “ประเทศอเมริกา” ทั้งประเทศ ย่อมมีแต่ “เจ๊งกับเจ๊ง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธอยู่แล้วแน่ๆ อีกทั้งบทบาท อำนาจ อิทธิพลของอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลางช่วงนี้ ก็ดูจะลดน้อยถอยลงแบบฮวบๆ ฮาบๆ ต่างไปจากครั้งที่ทำ “สงครามอ่าว” (Gulf War) ช่วงปี ค.ศ. 1991 แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน เพราะบรรดาประเทศที่เคยเปิดโอกาสให้ “ฐานทัพอเมริกา” ภายในประเทศตัวเอง ถูกนำไปใช้ประโยชน์ใดก็ย่อมได้ แต่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านคราวนี้ ไม่ว่าประเทศอย่างซาอุฯ ยูเออี โอมาน คูเวต ไปจนถึงหนึ่งในสมาชิก “NATO” อย่างตุรเคียโน่นเลย ต่างหันมา “ส่ายหน้า” หรือปฏิเสธที่จะเปิดโอกาสให้ใช้ฐานทัพเหล่านี้ ไปเล่นงานประเทศเพื่อนบ้านอย่างอิหร่านแบบตรงไป-ตรงมา...
การสนับสนุนอิสราเอลของคุณพ่ออเมริกา...จึงหนีไม่พ้นต้องเผชิญกับ “ขีดจำกัด” ไปด้วยประการละฉะนี้ ชนิดแม้แต่ผู้ได้ชื่อว่า “สุนัขพูเดิลอเมริกา” อย่างพวกผู้ดีอังกฤษ แม้จะมีส่วนช่วยปัดๆ ป้องๆ จรวดและโดรนของอิหร่านอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าฟังจากน้ำเสียงของรัฐมนตรีต่างประเทศและอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “นายDavid Cameron” ที่ออกมาแสดงความคิด ความเห็นต่อสำนักข่าว “Sky News” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 เม.ย.) ที่ระบุเอาไว้ว่าแม้อิสราเอลจะมีสิทธิตอบโต้หลังจากถูกอิหร่านถล่มด้วยโดรนและจรวด แต่มันน่าจะดีกว่าถ้าหากอิสราเอลรู้จักที่จะยับยั้ง-ชั่งใจ เพื่อไม่ให้เกิดการยกระดับความขัดแย้งให้ไปไกล ให้เข้ารก-เข้าพงเกินไปกว่านี้ หรือ... “ถึงเวลาแล้วที่จะ...ฉลาด!!!” (Time to be smart)...
ดังนั้น...การ “วางกับดัก” ของผู้นำอิสราเอล เพื่อล่อให้ใครต่อใครต้องเข้าร่วมสงคราม ความขัดแย้ง ในแนวรบตะวันออกกลาง หรือใน “สงครามของเนทันยาฮู” (Benjamin Netanyahu’s War) จึงไม่น่าส่งผลตอบสนองต่อความปรารถนาและต้องการ ต่อความเหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์ ความกระหายเลือด ของผู้นำรายนี้มากมายสักเท่าไหร่ ตรงกันข้าม...กลับยิ่งก่อให้เกิด “แรงกดดัน” ต่อตัวเองยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งถ้าหากพยายามตื้อ พยายามฝืน คิดบุกสังหาร พล่าผลาญพลเรือนชาวปาเลสไตน์ ณ ที่หลบภัยแหล่งสุดท้ายในเมือง “Rafah” อีกต่อไป โอกาสที่จะถูกชาวตะวันออกกลาง-ชาวโลก-หรือแม้แต่ชาวอิสราเอลด้วยกันเอง พร้อมใจกัน “ถีบทิ้ง” ให้หมดเรื่อง-หมดราว หรือให้ทุกสิ่งทุกอย่างพอทุเลา-เบาบางลงไปได้มั่ง ยิ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือสรุปง่ายๆ ว่า...แม้ว่ารายการ “เสือล้างสิงห์” หรือ “ลิงล้างก้น” ก็แล้วแต่ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลคราวนี้จะทำให้ใครต่อใคร “หายใจไม่ทั่วท้อง” อยู่มั่ง แต่โดยแนวโน้มจากนี้ไป ก็น่าจะพอ “ถอนหายใจ” แม้แต่เฮือก-สองเฮือกก็ยังดี!!!