รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน อาจเป็นนักการทหารที่ไร้ความสามารถ หรือเป็นนักโกหกหาตัวจับยาก รบในสงครามที่ไหนไม่เคยชนะ แต่ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทผลิตอาวุธ และบริษัทอื่นๆ โดยอาศัยเครือข่ายเส้นสายทำธุรกิจ
ออสตินพูดหน้าตาเฉยต่อคณะกรรมาธิการทหารของวุฒิสภาสหรัฐฯ อ้างว่าไม่มีหลักฐานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์โดยกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซา
คำพูดแบบโกหกซึ่งหน้าเป็นช่วงที่ออสตินให้การต่อคณะกรรมาธิการเพื่อขออนุมัติงบประมาณกระทรวงกลาโหมในปี 2024 ต้องตอบข้อซักถามมากมาย
ช่วงนั้นมีคนเข้าไปประท้วงโวยวายเรียกร้องไม่ให้คณะกรรมาธิการผ่านงบประมาณให้อิสราเอลฆ่าชาวปาเลสไตน์ต่อไป
คนทั้งโลกที่ติดตามสถานการณ์ในฉนวนกาซาต่างรู้ว่าพฤติกรรมที่กองทัพอิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์มากกว่า 3.3 หมื่นราย บาดเจ็บมากกว่า 7.5 หมื่นราย ผู้เสียชีวิต 14,000 คนเป็นเด็ก และ 1 หมื่นรายเป็นผู้หญิง
ไม่น่าแปลกใจที่ออสตินไม่มีศักดิ์ศรีของนายพลกองทัพสหรัฐฯ จากการโกหกซึ่งหน้า ศาลโลก คณะมนตรีความมั่นคง แม้แต่คนยิวในสหรัฐฯ และยุโรปก็ยังประณามกองทัพอิสราเอลและผู้นำรัฐบาล ว่าได้ก่ออาชญากรรมสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ออสติน คนผิวดำ มีบุคลิกไม่น่าไว้ใจ คำพูดไม่น่าเชื่อถือ เป็นตัวแทนกลุ่มบริษัทผลิตอาวุธ อุตสาหกรรมทหาร ไม่ได้รับการยอมรับจากคนอเมริกัน
การโกหกของออสติน ไม่ต่างจากนายพลเอกโคลิน พาวเวลล์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมผิวดำยุคที่สหรัฐฯ บุกอิรักในครั้งที่ 2 โดยอ้างว่าอิรักมีอาวุธมหาประลัย
ภายหลังถูกพิสูจน์เป็นข้อมูลลวงโลกป้อนโดยซีไอเอและกลุ่มอำนาจเหนือรัฐ ทำให้ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ตัดสินใจบุกทำสงครามกับอิรัก ฆ่าล้างชาวอิรักไปมากกว่า 1 ล้าน ทำลายประเทศพินาศย่อยยับ
นายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ของอังกฤษก็ร่วมขบวนการลวงโลกร่วมกับบุชด้วย หลังจากการพิสูจน์ว่าอิรักไม่มีอาวุธร้ายแรงตามคำอ้าง ทั้งบุชและแบลร์ ไม่รับผิดชอบ
การโกหกของนายพลพาวเวลล์ และพลเอกลอยด์ ออสติน จึงทำแบบหน้าด้านๆ ไม่รับผิดชอบ ทำให้สหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นรัฐก่อการร้ายเหมือนอิสราเอล
สหรัฐฯ ส่งอาวุธให้อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ จึงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและผู้สนับสนุนอาชญากรรมสงคราม ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศทุกอย่าง
นายลอยด์ ออสติน ได้เคยเข้าพักรักษาตัวนาน 2 สัปดาห์เพื่อรักษาอาการป่วยจากโรคมะเร็งในต่อมลูกหมากวันที่ 22 ธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อหลังการผ่าตัดทำให้ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งในวันที่ 1 มกราคม
นายออสตินไม่ได้แจ้งให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนทราบเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสภาคองเกรส และสร้างความประหลาดใจต่อทำเนียบขาว มีเสียงเรียกร้องให้ปลดออกจากตำแหน่ง
แต่โจ ไบเดน ก็ไม่ต่างจากออสติน ในการสนับสนุนอิสราเอลในการประกอบอาชญากรรมสงคราม ไบเดน ยอมให้ออสตินอยู่ต่อ โดยมีปัญหาความน่าเชื่อถือ
ในคำให้การต่อคณะกรรมาธิการ ออสติน อ้างว่าการที่นักรบฮามาสบุกเข้าในอิสราเอล สังหารคน 1,139 คน เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองอย่างมาก
คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่สังกัดพรรคเดโมแครต ไม่ติดใจซักไซ้มาก เพราะเป็นพวกเดียวกันกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน สนับสนุนอิสราเอลโดยตลอด
แต่อาชญากรรมของกองทัพอิสราเอลในการบุกเข้าไปทำลายอาคารต่างๆ บ้านเรือนในฉนวนกาซา ฆ่าชาวปาเลสไตน์กว่า 3 หมื่นราย นายออสตินอ้างเป็นการป้องกันตนเอง เป็นสิทธิโดยชอบธรรม
การบุกเข้าไปในประเทศอื่น ไม่ใช่การป้องกันตัวเอง แต่เป็นการรุกราน แต่นักการทหารอย่างออสตินก็ยังเลือกที่จะมองในมุมที่เป็นประโยชน์แก่สหรัฐฯ
ออสตินไม่ได้มองว่าการปฏิบัติการของกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซา เป็นการทำลายทุกอย่าง แม้กระทั่งโรงพยาบาล 35 แห่ง โบสถ์คริสต์ สุเหร่า ค่ายผู้ลี้ภัย โรงเรียน มหาวิทยาลัย สำนักงานกาชาด องค์กรบรรเทาทุกข์
ทหารอิสราเอลมุ่งสังหารผู้สื่อข่าว หน่วยบรรเทาทุกข์ แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยคาเตียงในโรงพยาบาลอย่างไร้ศีลธรรม ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ อนุสัญญาเจนีวาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อนุสัญญากรุงเวียนนาเรื่องการไม่โจมตีสถานทูต สถานกงสุล
อิสราเอลไม่สามารถเอาชนะกลุ่มฮามาส แต่จุดประสงค์หลักของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู คือการมุ่งสังหารชาวปาเลสไตน์ให้มากที่สุด ทำสงครามยืดเยื้อ เพื่อให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งนานๆ
ถ้าพ้นจากตำแหน่ง เนทันยาฮูมีโอกาสติดคุกในคดีทุจริตที่ยังคาอยู่ในศาล ชาวอิสราเอลเดินขบวนขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่ง ให้ยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่
ล่าสุด เนทันยาฮู เตรียมให้กองทัพอิสราเอลบุกเข้าพื้นที่ราฟาห์ ซึ่งจะมีการสังหารพลเรือนอีกมากมาย โดยอ้างว่าที่ผ่านมากองทัพให้ทำลายฮามาสได้มากถึง 19 ในจำนวนรวม 24 กองพัน แต่ถูกปฏิเสธ เพราะฮามาสไม่ได้จัดตั้งเป็นกองทัพ
อาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซาโดยรัฐบาลสหรัฐฯ และอิสราเอลจึงปราศจากเหตุผลในการสังหารพลเรือนอย่างมากมาย สะท้อนให้เห็นการไร้หลักศีลธรรม คุณธรรม และความปรานี เพราะเป้าหมายหลักคือเด็กและสตรี