หนังฮอลลีวูดปี ค.ศ. 1991 เรื่อง “JFK” ที่นำมาจากเค้าโครงเรื่อง “On the Trail of the Assassins” ของ “Jim Garrison” อัยการแห่งเมืองนิวออร์ลีนส์ กำกับและอำนวยการสร้างโดยผู้กำกับชื่อดัง “Oliver Stone” ได้สรุปไว้อย่างมั่นอก-มั่นใจเอามากๆ ว่ากลุ่มผู้วางแผน บริหารจัดการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน “John F Kennedy” (JFK) และน้องชายอดีตอัยการและวุฒิสมาชิก “Robert F. Kennedy” (RFK) ในเวลาต่อมา ก็คือฝีมือของพวก “อุตสาหกรรมอาวุธ” และผู้ที่ได้รับประโยชน์เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมชนิดนี้ อันถือเป็นเสาหลักของ “เศรษฐกิจอเมริกา” ที่มักจะหา “ทางออก-ทางไป” ในการดำรงรักษา ฟื้นฟู หรือเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ด้วย “สงคราม” นั่นแหละเป็นหลัก...
บรรดากลุ่มคนเหล่านี้ต่างสอดแทรก รวมตัว อยู่ในหน่วยงานความมั่นคงทั้งหลาย ไม่ว่ากระทรวงกลาโหม เอฟบีไอ ซีไอเอ ฯลฯ หรือที่เรียกรวมๆ กันว่าพวก “Deep State” นั่นเอง โดยมีส่วนผลักดันให้ประเทศอเมริกาต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพัน กับ “สงครามโลกครั้งที่ 1” “สงครามโลกครั้งที่ 2” “สงครามเย็น” จนแม้ “กำแพงเบอร์ลิน” อันเป็นตัวแบ่งแยกโลกทุนนิยมและโลกคอมมิวนิสต์จะพังทลายลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยอำนาจ อิทธิพล ที่อยู่รายรอบอดีตประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “George W. Bush” การขับเคลื่อน ผลักดัน ให้ “สงครามกับการก่อการร้าย” อุบัติตามมาติดๆ จนกระทั่งใกล้ๆ จะได้เวลา “สงครามโลกครั้งที่ 3” ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้...
โดย “ข้อสรุป” ที่ว่า...คงต้องยอมรับว่าค่อนข้างมี “น้ำหนัก” ที่ยากจะปฏิเสธไปเป็นอื่น เพราะไม่เพียง “JFK” จะเป็นผู้ที่ขัดลาภ ขัดผลประโยชน์ เป็นผู้ที่ยืนกรานปฏิเสธที่จะสนับสนุนการเปิดฉากสงครามในคิวบา หรือการบุก “อ่าวหมู” (Bay of pigs) ที่เรียกๆ กันว่า “Operation Mongoose” ปี ค.ศ. 1962 พร้อมที่จะ “ลอยแพ” พวกกบฏคิวบาและทำลายแผนการของบรรดานายทหารในกองทัพอเมริกันจน “เจ๊ง” ไม่เป็นท่าเท่านั้น ยังถือเป็นผู้หันมายึดแนวทาง “สันติภาพ” โดยร่วมมือกับผู้นำโซเวียตในขณะนั้น คือ “นายNikita Khrushchev” ด้วยข้อตกลงประนีประนอมระหว่างกันและกัน ก่อนที่การเผชิญหน้าในกรณีการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียในคิวบาจะนำไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” แบบใกล้เส้นยาแดงผ่าแปด หรือแบบที่อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกัน “นายRobert McNamara” เคยออกมาสารภาพในภายหลังว่า... “ความเป็นไปได้ของสงครามนิวเคลียร์ระหว่างอเมริกากับโซเวียตรัสเซียในขณะนั้น...ใกล้ถึงจุดระเบิดระดับฉิวเฉียดเกินกว่าที่ใครคาดคิด”...
นอกจากนั้น...ยังเป็นผู้ที่คิดจะยุติ “สงครามเวียดนาม” เตรียมถอนทหารอเมริกันทั้งมวลออกจากสมรภูมิดังกล่าวแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด แต่ด้วยการลอบสังหาร “JFK” ที่ทำให้อดีตรองประธานาธิบดี “Lyndon B. Johnson” ผู้ผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีกันแทนที่ เลยพลิกกลับลำแบบ 360 องศา เดินหน้าสงครามต่อ ทิ้งระเบิดใส่เวียดนาม ใส่ลาว และกัมพูชา ชนิดไม่รู้กี่ต่อกี่ล้านลูก การเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีด้วยการลอบสังหารและการเปลี่ยนนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ ในสายตาของ “Oliver Stone” จึงไม่ต่างอะไรไปจากการ “Coup d’etat” หรือการ “รัฐประหาร” โดยพวก “Deep State” ทั้งหลายนั่นเอง!!!
ดังนั้น...การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันปลายปีนี้ โอกาสที่จะได้ผู้นำอเมริกาที่ “ใฝ่สันติภาพ” จึงออกจะเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์เอามากๆ เพราะการ “ทำเงิน-ทำกำไร” จาก “แนวรบ” ต่างๆ ที่ประเทศซึ่งกำลังเป็น “หนี้” สูงสุดในโลก เศรษฐกิจยอบๆ แยบๆ เงินเฟ้อกดยังไงก็กดไม่ลง แถม “เงินดอลลาร์” ทำท่าว่าใกล้ “เจ๊ง” เต็มที อย่างคุณพ่ออเมริกาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพัน อย่างแยกไม่ออก มันสะท้อนให้เห็นถึง “ผลกำไร” ระดับมหาศาลบานเบอะ อันสามารถช่วยประคับประคองธุรกิจของตัวเอง ช่วยเพิ่มพูนความมั่งคั่ง ร่ำรวย ได้ต่อไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติได้เป็นอย่างดี ไม่ว่า “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่แม้ว่า “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย จะออกอาการ “แพ้แล้ว-แพ้เลย” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือน่าจะ “ปิดฉาก-ปิดกล่อง” ลงไปตั้งนานแล้ว แต่ความพยายามสร้าง “ความต่อเนื่อง” ของสงคราม หรือ “ขยายวง” สงคราม ก็กลับเป็นไปอย่างเอาการ-เอางานเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าในหมู่ประเทศเล็กๆ ของโลกตะวันตก อย่างประเทศแถบทะเลบอลติก ลัตเวีย เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ประเทศที่มีพรมแดนใกล้ชิดกับรัสเซียอย่างฟินแลนด์ โปแลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ อันถือเป็นสมาชิก “NATO” ทั้งเก่าและใหม่ไปด้วยกันทั้งสิ้น กลับเป็นผู้พยายามกระตุ้น ยั่วยุ เพื่อให้เกิดการเข่นฆ่า ล้างผลาญระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกสืบต่อไป อย่างชนิดน่าขนลุก-ขนพองเอามากๆ...
ไม่ว่าจะโดยการชี้แนะ ชี้นำ ของประธานาธิบดีฝรั่งเศส ให้ส่งทหารภาคพื้นดินเข้าสู่สมรภูมิยูเครนการกระตุ้นให้เตรียมตัวทำสงครามกับรัสเซีย-จีน-อิหร่าน-เกาหลีเหนือในอีก 5 ปีข้างหน้าของรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ เยอรมนี การประกาศถึงการเข้าสู่ยุคแห่งการเริ่มต้นสงครามครั้งใหม่ (pre-war era) ที่หนักหนา-สาหัสไม่น้อยไปกว่าสงครามเท่าที่เคยมีมาของนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ การเพรียกหาอาวุธร้ายๆ จากอเมริกา ไม่ว่าตั้งแต่ระดับ “Patriot” ไปจนถึงขีปนาวุธนิวเคลียร์ของผู้นำกลุ่มประเทศบอลติกและฟินแลนด์ หรือแม้กระทั่งความพยายามสร้าง “สัตว์ประหลาด” ตามคำเรียกของอดีตทูตอินเดียอย่าง “M.K. Bhadrakumar” อันหมายถึงการอาศัย “ผู้ก่อการร้าย” เพื่อเล่นงานรัสเซียถึงปากประตูบ้าน ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ทำให้ยากเอามากๆ ที่จะเกิดการหวนกลับมาสู่แนวทาง “สันติภาพ” ได้ง่ายๆ มีแต่ต้องรอคอยจังหวะ-เวลา ว่าจะเริ่มลงมือ-ลงตีน กันในตอนไหน? เมื่อไหร่? และอย่างไร? เท่านั้นเอง...
ส่วนใน “แนวรบตะวันออกกลาง” นั้น...ด้วยความมุ่งมั่นที่จะอยู่ในอำนาจให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ของผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” ก็คือโอกาสที่จะทำให้ “สงครามฮามาส-อิสราเอล” ดำเนินต่อไปอีกหลายยก หรือทำให้โอกาสทำกำไรของพวก “อุตสาหกรรมอาวุธ” ในอเมริกาเป็นไปโดยสะดวกคล่องคอเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้รัฐบาลอเมริกันจะ “งดออกเสียง” ในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เปิดทางให้กับการ “หยุดยิง” โดยฉับพลัน-ทันที แต่การส่งอาวุธ ขายอาวุธให้กับกองทัพ “IDF” ของอิสราเอลโดยอเมริกา ก็ไม่ได้สิ้นสุด ยุติตามไปด้วยแต่อย่างใด ยิ่งถ้าหากกองทัพอิสราเอลขยายวงสงครามไปยังเลบานอน ซีเรีย อิรัก ไปจนถึงอิหร่านที่เพิ่งถูกกระตุ้นด้วยการทิ้งระเบิดถล่มสถานทูตในซีเรียไปเมื่อวัน-สองวันมานี้บรรดาอาวุธร้ายๆ ทั้งหลาย ยิ่งมีแต่จะขายได้-ขายดี ยิ่งมีแต่รวยอุจจาระแตก-อุจจาระแตน ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
ไม่ต่างไปจาก “แนวรบทะเลจีนใต้” การขายอาวุธให้กับผู้ที่คิดแยกดินแดนไต้หวันในแต่ละล็อต แต่ละคราว คิดเป็นมูลค่าไม่รู้จะกี่หมื่นกี่พันล้านดอลลาร์ นั่นยังไม่รวมถึง “ดาวยั่วดวงใหม่” อย่างฟิลิปปินส์ เลยไปถึงออสเตรเลียที่กำลังสั่งซื้อเรือดำน้ำนิวเคลียร์จากอเมริกา แทนที่จะซื้อจากฝรั่งเศส ไปจนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ฯลฯ ภายใต้แนวโน้มเช่นนี้...โอกาสที่จะมองหาผู้นำอเมริกาที่ “ฝักใฝ่สันติภาพ” จึงเป็นอะไรที่พอๆ กับมองหาหนวดเต่า-เขากระต่ายอะไรประมาณนั้น แม้ว่าคู่แข่ง-คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปลายปีนี้ อย่าง “ทรัมป์บ้า” อาจคิดเลิกรบกับรัสเซีย หันมา “ถีบทิ้ง” องค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที แต่ด้วยเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีที่ให้การสนับสนุน ส่งเสริม พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อเมริกา โอกาสที่ “ทรัมป์บ้า” จะพยายามมองหา “สันติภาพ” ในตะวันออกกลางอย่างเป็นจริง-เป็นจัง ยังไงๆ...คงแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ ยิ่งในทะเลจีนใต้ยิ่งแล้วใหญ่ ภายใต้กระแสเกลียดจีน-กลัวจีนในอเมริกา ที่นับวันจะดุเดือดเลือดพล่านยิ่งๆ ขึ้นไปอันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ หรือทฤษฎีที่เรียกๆ กันว่า “กับดักธูซิดิดีส” (Thucydides Trap) อะไรทำนองนั้น คือความเกลียด-ความกลัวต่อ “จักรวรรดิใหม่” ที่จะขึ้นมาทาบรัศมี “จักรวรรดิเก่า” มิได้โดยเด็ดขาด การมุ่งมั่นเล่นงานคุณพี่จีนทั้งทางตรง-ทางอ้อม ทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี ไปจนถึง “การทหาร” จึงย่อมไม่อาจเลิกราลงไปได้ง่ายๆ...
อีกทั้งยังเป็นที่เชื่อๆ กันว่า...ยังไงๆ “ทรัมป์บ้า” ย่อมสามารถ “ถูกควบคุม” ให้อยู่ภายใต้ “คนรอบข้าง” ที่เต็มไปด้วยบรรดาพวก “Deep State” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ดังที่อดีตวุฒิสมาชิกอเมริกัน “Paul Craig Roberts” ได้เคยร่ายเรียงเอาไว้ในข้อเขียนบทความเรื่อง “Can America Have Hope” เมื่อไม่นานมานี้ และถึงแม้ไม่อาจควบคุมได้ก็ตาม ก็ยังสามารถหันไปใช้กรรมวิธีแบบเดียวกับที่ “JFK” และ “RFK” เคยเจอมาแล้ว นั่นก็คือการอาศัย “มือปืนผู้โดดเดี่ยว” (A lone gunman) หรือการ “รัฐประหารครั้งใหม่” แบบที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ โดยถ้าหากคู่แข่ง-คู่ชิงอีกรายอย่าง “RFK Jr.” (Robert F Kennedy Jr.) เกิดจับพลัด-จับผลู แหกโค้ง-แซงโค้งวัดเบญฯ ได้แบบไม่น่าเชื่อแต่อาจต้องเชื่อจนได้ อันนี้...อาจลำบากอยู่หน่อย เพราะคงต้อง “ลอบสังหาร” ทั้งตัวประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี อย่าง “นางNicole Shanahan” อดีตภรรยาผู้ร่วมก่อตั้ง “Google” ชาวรัสเซีย ให้ตายโหง-ตายห่าไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่งั้น...โอกาสที่จะควบคุมประเทศอเมริกาให้อยู่ภายใต้อุ้งมือของ “บรรษัทโจราธิปไตย” (Corporate Kleptocracy) ไม่ใช่ภายใต้ระบอบ “ประชาธิปไตย” (Democracy) อย่างที่พร่ำๆ เพ้อๆ กันมาโดยตลอดในแต่ละยุค แต่ละสมัย ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ!!!