อย่างที่เคยว่าๆ ไว้แล้วนั่นแหละว่า...ภายใต้ศตวรรษอเมริกา “การเมืองโลก” กับ “การเมืองอเมริกา” ยังไงๆ ย่อมมิอาจตัดขาดแยกขาดออกจากกันได้ง่ายๆ แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า “การเมืองอเมริกา” กับ “การเมืองอิสราเอล” ผู้เป็นพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ นับวัน...มันชักจะเกี่ยวโยง พัวพัน พันกันไป-พันกันมา พอๆ กับหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้ออะไรประมาณนั้น เปิดฉากสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตชวนไปดูความเกี่ยวโยง พัวพันในลักษณะที่ว่า เพราะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย...
คือการเมืองอิสราเอลนั้น...คงหนีไม่พ้นต้อง “เดินหน้า” ฆ่าแหลก ลุยแหลก บรรดาชาวปาเลสไตน์อย่างมิอาจบันยะบันยังใดๆได้เลย แม้จะต้องหันไปรบกับพวกเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน พวกนักรบชีอะห์ในซีเรีย ในอิรัก หรืออาจต้องปะ-ฉะ-ดะกับพี่เบิ้มในตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน เอาเลยก็ยังได้ เพราะการ “ลากยาว” หรือกระทั่งการ “ขยายวง” สงครามออกไปยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับเป็นการช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง มั่นคง ให้กับผู้นำประเทศอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ไม่ถึงกับถูกชาวอิสราเอลด้วยกันเอง “ถีบทิ้ง” ไปก่อนหน้า หรือไม่ต้องถูกศาลอิสราเอลจับขึ้นเขียง ขึ้นขื่อคา ด้วยข้อหาทุจริตประพฤติมิชอบ ก่อนที่ศาลอาจต้องถูกตัดมือ ตัดตีน ถูก “ปฏิรูปตุลาการ” ไปซะเอง...
ด้วยทิศทางการเมืองของอิสราเอลที่ต้องเป็นไปในแนวนี้ เลยทำให้การเมืองอเมริกาที่กำลังใกล้เวลาเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้ พลอยต้องยุ่งฉิบหาย-ยุ่งตายห่าตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้!!! จนถึงกับคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ประธานาธิบดีปัจจุบันต้องสั่งการให้ตัวแทนรัฐบาลอเมริกันประจำคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ที่เคยออกมา “วีโต” คัดค้านการเรียกร้องของประเทศต่างๆ ให้ยุติสงครามอิสราเอล-ฮามาส หรือให้ “หยุดยิง” โดยฉับพลัน-ทันที ถึง 3 ครั้ง 3 หนด้วยกัน ต้องตัดสินใจ “งดออกเสียง” ซะดื้อๆ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยเหตุเพราะไม่เพียงแต่ผลประโยชน์-ชื่อเสียงของอเมริกา อาจต้อง “เจ๊ง” คามือพันธมิตรอันศักดิ์อย่างอิสราเอลเอาง่ายๆ แต่ “คะแนนนิยม” ทางการเมืองของคุณปู่ ที่ต้องการจะดำรง รักษา ตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันต่อไปให้จงได้ ยิ่งทำท่าว่าชักหัวทิ่ม หัวตำ ล้มคว่ำคะมำหงายแบบมิอาจฟื้นคืนกลับมาได้อีกเลย แม้จะได้รับการสนับสนุน ส่งเสริม จากพวกนักธุรกิจอเมริกัน-เชื้อสายยิว เพียงใดก็ตามที...
เรียกว่า...แม้แต่คู่แข่ง-คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี อย่าง “ทรัมป์บ้า” เองก็เถอะ ถึงเคยได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีอเมริกันที่ “Pro-Israel” สุดขีดกว่าประธานาธิบดีรายใดเท่าที่เคยมีมา ไม่ว่าจะโดยการ “แซงชั่นอิหร่าน” ตามคำชี้แนะของอิสราเอล การย้ายสถานทูตอเมริกาจากกรุงเทลอาวีฟ ไปอยู่ที่เยรูซาเล็มตะวันตก การรับรองการยึดครองที่ราบสูงโกลันของอิสราเอลจนถึงกับเปลี่ยนชื่อมาเป็น “ที่ราบสูงทรัมป์” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือการอาสาเป็นตัวกลางให้กับการฟื้นฟูสัมพันธภาพปกติระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับอย่างบาห์เรน ยูเออี โมร็อกโก ซูดาน ฯลฯ ชนิดชาวอิสราเอลจำนวนไม่น้อยต่างปลาบปลื้มดื่มด่ำ ถึงกับเอาหน้า-เอาตาไปใส่ไว้ในเหรียญที่ระลึก เคียงคู่กับอดีตพระจักรพรรดิเปอร์เซียอย่าง “ไซรัสมหาราช” ผู้เคยทรงปลดปล่อยเชลยชาวยิวให้กลับมาสร้าง “วิหารพระเจ้าครั้งที่ 2” ไปโน่นเลย แต่เมื่อวัน-สองวันนี้...ระหว่างให้สัมภาษณ์สื่ออิสราเอล กระทั่ง “ทรัมป์บ้า” เอง ยังถึงกับต้องหลุดปากออกมาดังๆ ว่า “อิสราเอล...กำลังสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่!!!” หรือกำลัง “สูญเสียการสนับสนุนเป็นจำนวนมาก” มีแต่ต้องหันมาหาหนทาง “ยุติสงครามในกาซา” ลงไปให้จงได้...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าคู่แข่ง-คู่ชิงทั้งสองฝ่ายต่างหวังที่จะได้การสนับสนุนจากนักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายยิวเพียงใดก็ตามที แต่ด้วยทิศทางการเมืองอิสราเอลที่กำลังเป็นไปในแนวนี้ ย่อมสามารถก่อให้เกิดความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ต่อผู้คิดจะช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาปลายปีนี้ ให้ต้องล้มคว่ำคะมำหงาย หัวทิ่ม-หัวตำได้ไม่ยากส์ส์ส์ ส่งผลให้ไม่ว่าจะ “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจ ซึมเซา” ต่างต้องแฉลบออกข้าง ต้องตีตัวออกห่างจากผู้นำอิสราเอล จนก่อให้เกิด “ช่องว่าง” ระหว่างความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ชนิดไม่เพียงผู้นำอิสราเอลถึงกับปฏิเสธที่จะส่งตัวแทนไปพบผู้นำอเมริกาที่พยายามกวักมือเรียกให้มาปรึกษาหารือก่อนคิดบุกเมือง “Rafah” เพื่อไล่ล่าสังหารพวกฮามาสแบบไม่คิดจะบันยะบันยังเอาเลยแม้แต่น้อย นายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” ยังลุกขึ้นมาด่าการตัดสินใจ “งดออกเสียง” ของอเมริกาในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ว่าเป็นอะไรที่เลวร้ายเอามากๆ แถมยังสรุปไว้ด้วยว่าการปฏิเสธส่งตัวแทนไปยังอเมริกา ก็คือ “การส่งสาส์น” ไปยังพวกฮามาส ว่าอย่าได้คิดอาศัยแรงกดดันเหล่านี้ มาหยุดยั้งกองทัพอิสราเอลไม่ให้เดินหน้าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันได้ง่ายๆ...
อันนี้นี่เอง...ที่อาจทำให้บรรดาพวกนักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายยิว ที่ยังเห็นดี-เห็นงามกับพฤติกรรมและการกระทำของผู้นำอิสราเอล น่าจะ “หันรี-หันขวาง” มิใช่น้อย ต่อการคิดจะฉุดกระชากลากถูการเมืองอเมริกาให้ตอบสนองต่อความปรารถนาความต้องการและผลประโยชน์ของประเทศอิสราเอลแบบเน้นๆ-เนื้อๆ เพราะไม่ว่าจะ “ทรัมป์บ้า” แห่งพรรครีพับลิกัน หรือ “โจ ซึมเซา” แห่งพรรคเดโมแครต จะผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกันรายต่อไปก็ตามแต่ โอกาสที่ทิศทางการเมืองในอเมริกาจะแปลกแยก แตกต่าง ไปจากทิศทางการเมืองในอิสราเอล ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ แถมคู่แข่ง-คู่ชิงที่ไม่คิดจะสังกัดพรรคใดๆ อย่าง “นายRobert F. Kennedy Jr.” ลูกชายของอดีตวุฒิสมาชิก “RFK” (Robert F. Kennedy) และหลานชายของอดีตประธานาธิบดี “JFK” (John F Kennedy) ที่ถูกยิงตายไปด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเหตุเพราะคิดจะแข็งขืน ฝ่าฝืน ไม่ยอมตามอก-ตามใจพวกนักธุรกิจ พวกแสวงหาผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมอาวุธในอเมริกา หรือพวก “Deep State” ทั้งหลาย ก็ดันออกมาป่าวประกาศว่าจะใช้จังหวะเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวนี้นี่แหละ ในอันที่จะล้มล้างพวกที่ทำให้ “Democracy” หรือ “ประชาธิปไตยอเมริกา” ต้องกลายไปเป็น “Corporate Kleptocracy” หรือเป็น “บรรษัทโจราธิปไตย” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้...
แม้ว่าผู้ที่ไม่คิดจะสังกัดพรรคใดๆ อย่าง “นายRobert F. Kennedy Jr.” ยากที่จะผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำอเมริการายต่อไป อันเนื่องจากประชาธิปไตยอเมริกานั้น ออกจะหนักไปทางประชาธิปไตยที่ไม่มีทางเลือก หรือประชาธิปไตยที่ถูกบังคับให้เลือก ระหว่าง 2 พรรคการเมืองรายหนึ่ง-รายใดเท่านั้นเอง...แต่ถ้าว่ากันตามโพลของสำนัก “Reuters/Ipsos” คราวล่าสุด บรรดาอเมริกันชนทั้งหลายที่ต่างหันมาส่ายหน้า ไม่คิดจะเอาทั้ง “ทรัมป์บ้า” และไม่คิดเอา “โจ ซึมเซา” เอาไป-เอามา...ปาเข้าไปถึง 6 ใน 10 หรือ 60 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันโดยทั่วไปแล้วก็ว่าได้ การขันอาสาเข้ามาเป็นคู่แข่ง-คู่ชิงอีกราย ของทายาทตระกูล “Kennedy” รายนี้ จึงน่าจะยิ่งทำให้การเมืองอเมริกา ยิ่งน่าจะยุ่งฉิบหาย-ยุ่งตายห่ายิ่งขึ้นไปใหญ่ ชนิดโอกาสที่จะนำไปสู่ “การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายของอเมริกา” ดังที่ “ทรัมป์บ้า” ออกมายุแยงตะแคงรั่วเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ยิ่งใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!
ความยุ่งยากของการเมืองอเมริกา ที่ดันเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับการเมืองอิสราเอลแบบชนิดหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อเช่นนี้ เลยทำให้อดคิดถึงคำพูด คำทำนาย ในมหากาพย์อินตะระเดียยุคโบร่ำโบราณ อันปรากฏอยู่ในคัมภีร์ “กัลกิปุราณา” หรือคัมภีร์ว่าด้วยกำเนิดปิศาจในเทพปกรณัมฮินดู (The Origin of Evil in Hindu Mythology) ขึ้นมาไม่ได้ ที่ได้กล่าวถึงจุดจบ จุดอวสาน ของปิศาจหรือพญามาร 2 ราย ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “โคคา” (Koka) และ “วิโคคา” (Vikoka) อันเป็นสิ่งเดียว อันเดียว กับที่พระคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ หรือคัมภีร์อัล-กุรอ่านของชาวอิสลาม เรียกว่า “โกก” และ “มาโกก” นั่นแหละ หมายถึง “คู่แฝดมรณะ” ที่มุ่งครอบครองโลกทั้งโลกให้ตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของตัวเอง อันถือเป็น “ศัตรู” ตัวร้ายที่ “พระกัลกิ” (Sir Bhagawan Kalki) จำต้องจุติลงมาขจัดกวาดล้าง ประหัตประหารให้สิ้นชีพตักษัย ลงไปให้จงได้...
แต่ไม่ว่า “พระกัลกิ” โดยความร่วมมือของ “ธรรมะ” (Dharma) และ “สัตยา” (Satya) จะหาทางเล่นงาน 2 ปิศาจร้ายเหล่านี้ในแบบไหน? อย่างไร? “โคคา” และ “วิโคคา” ก็ยังไม่คิดจะตายซะที ไม่ว่าจะถูกตัดหัว สับร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่สุดท้าย...หัวและร่างกายยังคงกลับมารวมตัวและฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่ อันเนื่องมาจาก...“พระพรหมเจ้าได้ตรัสบอกกับพระกัลกิว่าเหตุที่ปิศาจทั้งสองมีอำนาจเช่นนี้ เพราะได้รับประทานพรให้เป็นอมตะ ดังนั้น...มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสังหารทั้งคู่ให้ตาย คือต้องลงมือโจมตีขณะที่แต่ละคนไม่ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว และจะต้องฆ่าให้ตายในเวลาพร้อมๆ กัน” จุดจบหรือจุดอวสานของ 2 ปิศาจ จึงอุบัติขึ้นมาเมื่อ “พระกัลกิ” ได้แทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างกลางของปิศาจทั้งสอง แล้วใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งบีบคอ “โคคา” อีกข้างหนึ่งตอกขมับ “วิโคคา” จนนำไปสู่การปิดฉาก ปิดกล่อง ช่วงเวลาแห่ง “กลียุค” ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก่อนที่ “วงรอบแห่งกาลเวลา” จะเริ่มกลับเข้าสู่ “สัตยยุค” หรือยุคแห่งความดี ความงามได้อีกครั้ง???