xs
xsm
sm
md
lg

เปิดผลสอบปล้นพระคลังข้างที่ 87 ปีที่แล้ว (ตอนที่ 1): 12 คน “ยังไม่ถวายที่ดินพระคลังข้างที่คืน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

 รายงานผลสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่หรือสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันเป็นรายงานที่ทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี พ.ศ.2480 เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิธีการของสมาชิกคณะราษฎรซึ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปีพ.ศ.2475 ในการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆมาเป็นกรรมสิทธิของตัวเองและพวกพ้อง

โดยย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2480 หลังการปฏิวัติ 2475 ได้ราว 5 ปี นายเลียง ไชยกาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุบลราชธานี ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่องที่นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลซึ่งรวมถึงอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร และรวมถึงข้าราชการ ประมาณ 38 คนได้แห่รุมซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆ

หลังจากตั้งกระทู้ถามแล้ว นายไต๋ ปาณิกบุตร ส.ส.จังหวัดพระนคร ก็ได้เข้าชื่อเพื่อการอภิปรายกรณีเดียวกันนี้เพื่อรุกไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

การอภิปรายในครั้งนั้นนายเลียง ไชยกาล พาดพิงไปถึง พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการซึ่งได้ขายที่ดินส่วนตัวของพระองค์ คือโรงเรียนการเรือนในราคาแพงๆ คือตารางวาละ 35 บาทให้กับสำนักพระคลังข้างที่ ทั้ง ๆ ที่ราคาที่ดินใกล้เคียงมีราคาเพียงตารางวาละ 15 บาท

ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นต่อมาคือ วันที่ 28 กรกฎาคม 2480 พระยามานวราชเสวี(ปลอดวิเชียร ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แจ้งต่อที่ประชุม 2 เรื่อง คือ

 เรื่องที่ 1 พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แจ้งใคร่จะขอลาออกจากตำแหน่ง โดยทรงอ้างว่าเพราะถูกพาดพิงในสภามาก และเป็นผลทำให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก 2 ท่านลาออกด้วย คือเจ้าพระยายมราช และ เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน

 เรื่องที่ 2 นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะ

ต่อมา วันที่ 4 สิงหาคม 2480 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้คณะผู้สำเร็จราชการกลับมาดำรงตำแหน่งเหมือนเดิม
อีก 3 วันต่อมา ในวันที่ 7 สิงหาคม 2480 สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติให้นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิม

ต่อมา วันที่ 11 สิงหาคม 2480 สภาผู้แทนราษฎรก็ได้เปิดวาระการลงมติไว้วางใจคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และอภิปรายต่อในเรื่องคดีการรุมซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆ ของอดีตคณะผู้ก่อการคณะราษฎรและข้าราชการ โดยยังไม่ได้มีการแก้ไขใด ๆ

พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี จึงได้ยืนยันว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา โดยไม่ใช่คนของรัฐบาล แต่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลังจากนั้นที่ประชุมจึงมีมติเสียงข้างมากไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้

ต่อมาวันที่ 12 สิงหาคม 2480 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาซื้อขายที่ดินบางรายของพระคลังข้างที่ 5 คนโดยมี  เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตรณ สงขลา) เป็นประธานกรรมการ ต่อมาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นประธานกรรมการ คณะรัฐมนตรีจึงแต่งตั้ง  พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์) เป็นประธานแทน

ผ่านไปอีก 8 เดือน ข้ามไปเป็นปี 2481 ผลการสอบก็ยังไม่เผยแพร่ออกมา ทำให้ในวันที่ 8 มีนาคม 2481 นายเลียง ไชยกาล ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี ได้ตั้งกระทู้ถามติดตามผลการสอบสวนต่อพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ซึ่งพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงอ้างว่าคณะกรรมการวินิจฉัยหมดแล้วและรัฐบาลก็ได้ดำเนินการตามคำวินิจฉัยเกือบหมดแล้ว(หมายถึงคืนที่ดินกลับเกือบหมดแล้ว)

นายเลียง ไชยกาล จึงเรียกร้องให้โฆษณาเผยแพร่รายงานการสอบ แต่พระยาพหลพลพยุหเสนาอ้างว่าเนื่องจากรายงานต่อประธานสภาไปแล้วจึงแล้วแต่สภา

ปรากฏว่า พระยามานนวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ตัดบทแจ้งว่าจะไม่แจกรายงานฉบับเต็มนี้ในที่ประชุม โดยอ้างว่าให้อ่านแบบสรุปตามที่รัฐบาลได้ส่งไปลงหนังสือพิมพ์ เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ในรายละเอียดแล้ว

โดยพระยามานนวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างต่อว่า

  “ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นประธานสภาฯ ข้าพเจ้าได้รับรายงานก่อนใครๆ หมด เมื่อกรรมการพิจารณาเสร็จแล้ว รัฐบาลชุดเก่าได้ส่งมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้อ่านเสร็จแล้วก็เก็บใส่กุญแจไว้”
 
ต่อมาทราบว่า รัฐบาลได้ลงคำแถลงผลการสอบสวนโดยสรุปในหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2480 แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดผลการสอบสวนทั้งหมดที่ไหนอีกเลย

ด้วยเหตุนี้ รายงานทั้งหมดได้เป็นความลับมานานถึง 8 ทศวรรษครึ่ง หรือ 87 ปีตั้งแต่ปี 2480 จนถึงปัจจุบันปี 2567 ยังไม่มีใครได้เห็นรายงานฉบับเต็มเลย ด้วยเพราะรายงานฉบับเต็มนั้นมีความหน้า 71 หน้า

คงมีแต่รายงานในผู้จัดการออนไลน์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่ได้รายงานภาพรวมเอาไว้

ทั้งนี้ ด้วยเพราะนักการเมืองอดีตสมาชิกคณะราษฎรที่ก่อการรัฐประหารปี พ.ศ. 2475 พร้อมด้วยข้าราชการ ได้เร่งซื้อโอนที่ดิน ตัดหน้าก่อนที่ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 จะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับในวันที่ 19 กรกฎาคม 2480 เพราะการโอนหรือจำหน่ายที่ดินพระคลังข้างที่ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่นี้ จะต้องทำโดยพระบรมราชานุมัติเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เท่านั้น มิใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพวกอดีตผู้ก่อการของคณะราษฎร

โดยรายงานผลการสอบสวนดังกล่าวได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 7 ในรายงานความบางตอนที่น่าสนใจความว่า

  “มีกรณีที่พระคลังข้างที่ให้ขายที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปรวม 28 ราย ได้มีบัญชาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ขายแล้ว แต่ยังมิได้กระทำการโอนทะเบียนการซื้อขายรวม 10 ราย คงมีที่พระคลังข้างที่รับซื้อไว้เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 รายเท่านั้น คือ ซื้อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา รายหนึ่ง กับ ซื้อจากนายจิตตะเสนปัญจะอีกรายหนึ่ง…..”

ความบางตอนใน หน้าที่ 7 ยังได้รายงานเพิ่มเติมอีกด้วยว่า….

 “ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่เป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือ ในกรณีที่พระคลังข้างที่เป็นผู้ขายปรากฏว่าผู้ซื้อได้ถวายหนังสือขอพระราชทานพระมหากรุณายื่นต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ข้อความในหนังสือนั้นเป็นในทำนองเดียวกัน คือ ปรารภถึงความจำเป็นในส่วนตัวและหน้าที่ราชการว่าจะต้องมีที่อยู่เป็นหลักฐาน และขอซื้อที่ ที่นั่นที่นี่ บางรายก็เสนอราคาขึ้นไป บางรายก็มิได้เสนอราคา โดยขอเป็นทำนองเดียวกันว่าจะผ่อนใช้ราคาเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าเท่านั้นเท่านี้ หรือปีหนึ่งไม่ต่ำกว่าเท่านั้นเท่านี้”

และความบางตอนระบุเอาไว้หน้าที่ 8 ว่า

 “เมื่อเรื่องพร้อมด้วยคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่พระคลังข้างที่และความเห็นของนายกรัฐมนตรี ขึ้นไปถึงคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ทุกเรื่องได้มีบัญชาสั่งเป็นทำนองเดียวกันมีความว่า ผู้ขอพระมหากรุณาเป็นผู้มีความดีความชอบในราชการแผ่นดินและนายกรัฐมนตรีก็ได้ถวายความเห็นว่าควรอยู่ในข่ายพระมหากรุณา จึงให้ขายที่ๆของพระราชทานเป็นราคาเท่านั้นเท่านี้ (คือราคาที่เจ้าหน้าที่พระคลังข้างที่ตีขึ้นมาก) …”

ข้อความสำคัญคือ  “และเกือบทุกรายให้ลดราคาลง 1 ใน 3 ในฐานพระมหากรุณาแล้วให้โอนโฉนดให้ไป ส่วนราคาให้ผ่อนใช้ตามส่วนที่ขอพระราชทานขึ้นมา”

นอกจากนั้นในรายงานหน้าที่ 9 ยังระบุด้วยว่า เรื่องนี้ดำเนินกันไปอย่าง  “ลับ” และ  “ด่วน” ความว่า…

“การซื้อขายที่ดินได้กระทำกันภายในเดือนกรกฎาคมนั้น ได้ความตามคำเจ้าหน้าที่ในสำนักพระราชวังว่า เอกสารราชการที่มีใบมาเกี่ยวข้องแก่การนี้เกือบทุกฉบับมีคำว่า “ลับ” และ “ด่วน”

และปรากฏว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ยังได้มีบัญชาสั่งมาทางสำนักพระราชวังเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2480 อีกด้วยว่า

“โดยที่วันนี้มีเรื่องที่ขอพระมหากรุณาเสนอขึ้นมาหลายรายรวมด้วยกัน และอนุญาตให้ขายได้ตามที่ขอพระมหากรุณาขึ้นมา ว่าด้วยตามทางการแล้ว เมื่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีมติแล้ว จะต้องทำหนังสือส่งสำนักงานพระคลังข้างที่ แต่ทั้งนี้เพื่อจะให้เรื่องเหล่านี้ได้ดำเนินไปโดยรวดเร็ว ให้ราชเลขานุการในพระองค์เชิญบัญชาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้งนี้ ไปให้เลขาธิการพระราชวังเพื่อดำเนินการต่อไปให้ทันการ”

ในบัญชาสั่งฉบับนี้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงนาม 2 ท่านคือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน โดยปราศจากการลงนามจากเจ้าพระยายมราช

 การสอบสวนได้สรุปว่าการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในครั้งนั้น ปรากฏว่าไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ทำให้การโอนที่ดินกระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยในรายงานฉบับดังกล่าวหน้าที่ 65-69 ระบุว่า “ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 ว่าพระบรมราชโองการที่โปรดเกล้าฯให้ซื้อและขายนั้น จะต้องมีรัฐมนตรีนายหนึ่งลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบ”


ปรากฏว่าในช่องคำสั่งนั้น มีรัฐมนตรีนายหนึ่งคือ พระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวัง เขียนคำว่า “ทราบ” ลงไปคำเดียวแล้วลงนามและวันที่หน้าในบันทึกเรื่อง แทนที่จะลงนามต่อท้ายพระปรมาภิไธย ซึ่งเป็นแบบแผนเดียวกับทุกพระราชบัญญัติ

คณะกรรมการพิจารณาลงความเห็นในหน้า 67 ความว่า

 “การลงนามว่า “ทราบ” หน้าบันทึกเรื่องของพระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรี ไม่ถือว่าเป็นการรับสนองพระบรมราชโองการ ผลทางกฎหมายจึงทำให้การซื้อขายที่ดินเหล่านี้ ยังหาได้มีพระบรมราชโองการซึ่งมีผลเป็นการสมบูรณ์ในทางกฎหมายให้ซื้อให้ขายได้ไม่”

และคณะกรรมการยังให้ความเห็นต่อในรายงานหน้า 68 ด้วยว่า

“ในกรณีที่พระคลังข้างที่ขายที่เหล่านี้ ไม่ต้องด้วยลักษณะการซื้อโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330, 1332 และ 1333 จึงเห็นว่าผู้ซื้อทุกคนไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนรับซื้อ และเห็นว่าเจ้าของทรัพย์สิน คือพระมหากษัตริย์ย่อมมีสิทธิที่จะติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336”

และข้อความสุดท้ายคณะกรรมการได้ปิดท้ายในรายงานหน้าที่ 71 เอาไว้ว่า

“ข้อที่ให้มีการสนองพระบรมราชโองการนี้เป็นกฎหมาย เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน (Public Order) อีกด้วย สัญญาซื้อขายที่กระทำแล้วนั้นจึงเป็นการเสียเปล่า ไม่บังเกิดผลผูกพันแก่ฝ่ายใดเลย คู่กรณีย่อมคืนสู่ฐานะเดิม

วันที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2480
ลงนามโดย
นลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์) ประธานกรรมการ
อรรถการียนิพนธ์ (สิทธิ จุณณานนท์) กรรมการ
อชราชทรงสิริ (แม้น อรุณลักษณ์) กรรมการ
พลางกูรธรรมพิจัย (เผดิม พลางกูร) กรรมการ
พระยาสารคามคณาภิบาล (ทิพย์ โรจน์ประดิษฐ์) กรรมการ”

เนื่องจากรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องมีทั้งสิ้นมากถึง 38 ราย เพื่อความง่ายต่อการแบ่งหมวดหมู่ จึงสามารถ รายละเอียดออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มแรก คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้วและยังไม่ได้คืนที่ดินจำนวน 12 ราย

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้ซื้อและได้รับโอนที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้ว (กระทำผิดสำเร็จแล้ว) แต่ต่อมาได้ยอมถวายคืนหรืออยู่ระหว่างการคืนจำนวน 14 ราย

กลุ่มที่สาม คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้เตรียมซื้อที่ดินเอาไว้แล้วแต่ยังไม่ทันได้รับโอนที่ดิน จำนวน 10 ราย

สำหรับในตอนแรกนี้ จะนำเสนอในรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม 1 จำนวน 12 รายที่มีการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้ว และในรายงานระบุว่า  “ยังไม่ได้ถวายคืน” มีรายละเอียดดังนี้

 รายที่ 1 ร้อยเอกขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร) อดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารบกผู้ช่วยราชเลขานุการ  มีการซื้อที่ดิน 2 ครั้ง

ครั้งแรก วันที่ 12 พฤศจิกายน 2478 ร้อยเอกขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร)ซื้อที่ดินจากพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2176 เนื้อที่ 400 ตารางวา ริมถนนราชวิถีอำเภอดุสิตซื้อราคา 4,000 บาท โดยผ่อนใช้เดือนละ 100 บาท โดยในรายงานระบุเอาไว้หน้า10 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน” ปัจจุบันคือพื้นที่ รร.โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส ดุสิต บริเวณหัวมุมหน้าพระราชวังสวนจิตรลดา

ครั้งที่สอง วันที่ 7 มกราคม 2479ร้อยเอกขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร)ซื้อที่ดินจากพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2306 เนื้อที่ 191 1/2 ตารางวา ริมถนนราชวิถี อำเภอดุสิต ซื้อมาในราคา 3,915 บาท โดยผ่อนใช้เดือนละ 100 บาท โดยในรายงานระบุเอาไว้หน้า 11 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน” โดยระบุหมายเหตุในรายงานในหน้า 11 อีกด้วยว่า

“การที่นายร้อยเอกขุนนิรันดรชัย ขอพระราชทานซื้อที่ดินรายนี้ ก็เพื่อขยายที่ๆ นายร้อยเอก ขุนนิรันดรชัยมีอยู่แต่เดิม และที่ขอพระราชทานซื้อครั้งแรกให้กว้างขวางขึ้นเพราะที่เหล่านี้เป็นที่ติดต่อกัน”

 พลโทสรภฏ นิรันดร บุตรชายของขุนนิรันดรชัยเคยให้สัมภาษณ์ว่า ขุนนิรันดรชัย เป็นท่อน้ำเลี้ยงส่งเงินให้กับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม

โดยในชีวิตบั้นปลาย ขุนนิรันดรชัย ได้ป่วยต้องผ่าตัดสมองหลายครั้งและเป็นอัมพาตอยู่หลายปี โดยก่อนเสียชีวิตได้ฝากให้บุตรชายให้ขอพระราชทานอภัยโทษและถวายที่ดินคืนให้พระมหากษัตริย์

ต่อมาพลโทสรภฏ นิรันดร บุตรชาย ได้ทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษ และต้องการที่จะถวายที่ดินคืน แต่จนถึงวันนี้ลูกหลานคนอื่นๆ ก็ยังไม่ยินยอมที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ก็ยังไม่ได้ถวายคืน และถึงตอนนี้ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงย่อมเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่จะต้องทำหน้าที่ในการทวงคืนตามกฎหมาย

  รายที่ 2 นายเรือเอกวัน รุยาพร อดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารเรือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการพระคลังข้างที่

สำหรับ นายเรือเอกวัน รุยาพร เป็นอดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารเรือ ถูกส่งเข้าไปรับราชการในสำนักพระราชวังตั้งแต่ปี 2478 โดยในขณะเกิดเหตุได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ แล้วโอนที่ดินของพระมหากษัตริย์เข้าเป็นทรัพย์สินของตัวเอง

โดยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2480 นายเรือเอกวัน รุยาพร ร.น. ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดที่ 603 ริมถนนเพ็ชรบุรี ตำบลประแจจีน (พญาไท) อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 164 ตารางวาง ซื้อในราคา 4,400 บาท โดยโอนที่ดินมาในชื่อตัวเองก่อน โดยอ้างว่าจะผ่อนใช้ไม่น้อยกว่าปีละ 800 บาท แต่ก็ไม่ได้ผ่อนตามสัญญา

โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 12 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 9 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ฟ้องร้องคดีความแพ่งต่อ นายเรือเอกวัน รุยาพร ซึ่งศาลฎีกาได้ตัดสินคดีความแพ่งที่ 784/2516 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2516 ให้การโอนที่ดินผืนนี้เป็นโมฆะ และต้องคืนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะไม่ได้มีการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

 รายที่ 3 พระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ (ยม สุทนุศาสน์) รัฐมนตรีผู้ทำหน้าที่สั่งราชการสำนักพระราชวัง  มีการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ 2 ครั้ง

ครั้งแรก วันที่ 14 เมษายน 2480 ที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 6609 ตำบล คลองตัน อ.คลองตัน พื้นที่ 649 ตารางวา มีสิ่งปลูกสร้าง คือเรือนใหญ่ 2 ชั้น 1 หลัง เรือนเล็ก 2 ชั้น 1 หลัง โรงและที่อยู่คนใช้ชั้นเดียว 1 หลัง ซื้อได้มาในราคา 7,000บาท ผ่อนใช้เดือนละ 100 บาท หรือปีหนึ่ง 1,000 บาท ต่อมาได้ถวายคืนที่ดินผืนนี้ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2480 เพื่อเปลี่ยนขอพระราชทานซื้อที่อื่น เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งที่ดินราคาแพงกว่า เป็นที่ดินตำบลประตูน้ำ อำเภอปทุมวัน
ครั้งที่สอง วันที่ 19 กรกฎาคม 2480 พระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ (ยม สุทนุศาสน์) ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดที่ 2486 เนื้อที่ 403 ตารางวา พร้อมส่งปลูกสร้างตึก 2 ชั้นห้องแถว 3 ห้อง และโรงรถ 2 ชั้น ถนนรองเมือง ตำบลปทุมวัน ในราคา 14,000 บาทโดยลดราคาจากที่พระคลังข้างที่ตีไว้เมื่อรับโอนหลุดเป็นสิทธิ์ที่ 26,475 บาท โดยเป็นการผ่อนชำระราคาปีละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท

โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 13 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”

 รายที่ 4 นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาถ (นาม ประดิษฐานนท์) อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร

วันที่ 21 มิถุนายน 2480 นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาถ (นาม ประดิษฐานนท์)ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 4238 ถนนสามเสน ตำบลบางกระบือ อำเภอบางซื่อ จังหวัดพระนครเนื้อที่ 720 ตารางวา ราคา 7,200 บาทโดยขุนนามนฤนาถขอซื้อราคาตารางวาละ 8 บาท (เหลือ 5,760 บาท) ทั้งๆ ที่เจ้าพนักงานพระคลังข้างที่ตีราคามาตารางวาละ 10 บาท โดยผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 600 บาท

โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 15 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”

ต่อมา ปี 2482 ต่อมา นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาถ (นาม ประดิษฐานนท์) ถูกประหารชีวิตเพราะหลวงพิบูลสงครามได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นตัดสินให้ประหารชีวิตกบฎ 18 คน ในคดีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เข้าร่วมกบฏพระยาทรงสุรเดช

 รายที่ 5 นายวิลาส โอสถานนท์ อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน และเป็น ส.ส.ประเภทที่ 2

วันที่ 15 กรกฎาคม 2480นายวิลาส โอสถานนท์ ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 3845 ริมถนนงามดูพลี ตำบลสาธร อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร มีเนื้อที่ 784 ตารางวา มีเรือนใหญ่ 1 หลัง มีครัวกับเรือนคนใช้ 1 หลัง ราคา 6,000 บาท ลดราคาจากที่พระคลังประเมินราคาในเวลานั้น 9,000 บาท โอนที่ดินก่อนแต่ผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 1,200 บาท ทั้งๆ ที่พระคลังข้างที่ปล่อยเช่าได้อยู่แล้วเดือนละ 100 บาทนายวิลาศ โอสถานนท์ จึงเหมือนที่ได้ที่ดินพระคลังข้างที่มาเป็นทรัพย์สินโดยมีผู้เช่าผ่อนให้

โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 17 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”

 รายที่ 6 นาวาตรี หลวงนิเทศกลกิจ รน. (กลาง โรจนเสนา) อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายทหารเรือ และเป็น ส.ส.ประเภทที่ 2

16 กรกฎาคม 2480 ได้ที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 586 ริมถนนดินสอ ตำบล สำราญราษฎร์ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร มีเนื้อที่ 224 ตารางวา เรือนปั้นหยา 2 ชั้น 1 หลัง, เรือนครัว 2 ห้องแถว 1 หลัง, เรือน 3 ห้องแถว 1 หลัง, เรือนห้องแถวชั้นเดียว 6 ห้อง ราคาตีไว้ 11,480 บาท แต่นายนาวาตรี หลวงนิเทศกลกิจ รน. (กลาง โรจนเสนา) ซื้อได้ในราคา 7,000 บาท ผ่อนเดือนละ 50 บาท

โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 19 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”

 รายที่ 7 นายเอก สุพโปฎก อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน และอดีตรองราชเลขานุการในพระองค์

วันที่ 16 กรกฎาคม 2480 นายเอก สุพโปฎกได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่1336 เนื้อที่ 474 ตารางวา ตำบลบางไส้ไก่ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี ในราคา 2,844 บาท โดยลดราคาจากที่พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 4,266 บาท

โดยระบุว่าหากนายเอก สุพโปฎกยังรับราชการอยู่ให้ผ่อนปีละ 600 บาท แต่ถ้าไม่รับราชการประจำให้ผ่อนได้ไม่น้อยกว่า 300 บาท

ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏในรายงานหน้าที่ 20 อีกด้วยว่า นายเอก สุพโปฎก ได้ขอกู้เงินจากพระคลังข้างที่ 6,000 บาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย เพื่อสร้างบ้านใหม่บนที่ดินเดียวกันนี้ และให้ผ่อนใช้คืนได้อีกเดือนละ 50 บาท

โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 19 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”

 รายที่ 8 นายเรือเอกกุหลาบ กาญจนสกุล ร.น. (กำลาภ กาญจนสกุล) อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายทหารเรือ

วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 นายเรือเอก กุหลาบ กาญจนสกุล ร.น. (กำลาภ กาญจนสกุล) ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 429, 490, 560, 2469 เนื้อที่ 190 1/2 ตารางวา หลังตึกแถวถนนหลวง ตำบลสามยอด อำเภอสำเพ็ง สามยอด (ป้อมปราบ) พระนคร มีสิ่งปลูกสร้าง คือ เรือนปั้นหยา 2 ชั้น 1 หลัง เรือนทรงโบราณ 1 หลัง ห้องชั้นเดียว 1 หลัง โรงรถ 1 หลัง ราคา 6,734 โดยลดราคาจากที่พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 10,100 บาท โดยให้ผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 500 บาท

โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 22 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”

/ รายที่ 9 นายสอน บุญจูง อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน/สำนักนายกรัฐมนตรี

วันที่ 17 กรกฎาคม 2480นายสอน บุญจูง ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่2383, 2395, 2400 เนื้อที่ 524 ตารางวา ถนนซอยจากถนนรองเมือง ตำบลปทุมวันอำเภอปทุมวัน พระนคร มีเรือน 2 ชั้นใหญ่ 1 หลัง เรือน 2 ชั้น 1 หลัง เรือนชั้นเดียว 1 หลัง กับโรงรถ 1 หลัง พระคลังข้างที่ลงทุนไว้ถึง 36,000 บาท พระคลังข้างที่ตีราคาเหลือเพียง 8,734 บาท แต่นายสอน บุญจูง สามารถซื้อได้ในราคา 4,584 บาท โดยเป็นการผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 600 บาท

ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 23 ไม่ได้กล่าวถึงว่ามีการคืนหรือไม่หรือยังไม่คืน

 รายที่ 10 นายร้อยเอกกระวี สวัสดิบุตร

วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 นายร้อยเอกกระวี สวัสดิบุตรได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โฉนดเลขที่ 380(ของพระมงกุฏเกล้าฯ รัชกาลที่ 6) ริมถนนจักรพรรดิพงศ์ เชิงสะพานโสมนัส อำเภอนางเลิ้ง พระนคร เนื้อที่ 264 ตารางวา มีเรือน 2 หลังแฝด มีนอกชานระหว่างเรือนกับครัวและชานด้านสะกัด 1 หลัง พระคลังข้างที่ซื้อที่ดินมาในมูลค่า 16,000 บาท แต่พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 8,220 บาท ถึงกระนั้นนายร้อยเอกกระวี สวัสดิบุตร ก็ได้ซื้อมาในราคา 5,480 บาท แล้วยังสามารถผ่อนชำระราคาปีละไม่น้อยกว่า 600 บาท

ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 23 ไม่ได้กล่าวถึงว่า “ผู้ซื้อยังมิได้ถวายคืน” หรือไม่

  รายที่ 11 นาวาโทหลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) เป็นทหารเรือและต่อมาได้เป็นถึงผู้บัญชาการท
หารเรือ

วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 นายนาวาโทหลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 6128 ริมถนนองครักษ์ ตำบลบางกระบืออำเภอบางซื่อ พระนคร เนื้อที่ 1,909 ตารางวา มีเรือน 1 ชั้น 1 หลัง เรือนทรงมะนิลา 1 หลัง เรือนคนใช้ 2 หลัง พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 14,454 บาท แต่นายนาวาโทหลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) ซื้อได้ในราคา 10,303 บาทโดยลดราคาจากที่โดยให้ผ่อนชำระราคาปีละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท

ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 24 ไม่ได้กล่าวถึงว่า “ผู้ซื้อยังมิได้ถวายคืน”

 รายที่ 12 พระวิเศษอักษรสาร (เคลื่อน ณ นคร) นายอำเภอราษฎร์บูรณะ ธนบุรี

วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 พระวิเศษอักษรสาร(เคลื่อน ณ นคร) ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 1825 ถนนซอยจากกรุงเกษม ตอนเชิงสะพานเทเวศร์ ตำบลบางขุนพรหม อำเภอนางเลิ้ง เนื้อที่ 249 ตารางวา มีเรือนปั้นหยา 2 ชั้น 1 หลัง โดยพระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 5,335 บาท แต่พระวิเศษอักษรสาร (เคลื่อน ณนคร) ซื้อได้ในราคา1,557 บาท โดยให้ผ่อนชำระราคาปีละ 200 บาท

ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 24 ไม่ได้กล่าวถึงว่า “ผู้ซื้อยังมิได้ถวายคืน”

 บทสรุปในกลุ่มที่ยังไม่ปรากฏการถวายคืนที่ดินเหล่านี้ ควรจะให้ลูกหลานตระกูลดังกล่าวหรือคนที่รู้จักในตระกูลเหล่านี้ ได้สำรวจความจริงว่าปัจจุบันสถานภาพที่ดินเหล่านี้ได้ถ่ายโอนไปอย่างไรหรือไม่ และมีความคิดที่จะถวายคืนหรือไม่

 รวมถึงคำถามที่ว่าหากที่ดินเหล่านี้ยังไม่ได้มีการถวายคืนแล้ว สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์สมควรที่จะต้องมีการดำเนินการทวงคืนหรือฟ้องร้องดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับคดีของนายเรือเอกวัน รุยาพร ร.น. หรือไม่?

สรุปเผยแพร่รายงานผลการสอบสวนโดย
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

อ้างอิง
[1] ผู้จัดการออนไลน์, Exclusive!: เปิดความลับ 86 ปี ผลสอบแก๊ง “คณะราษฎร2475” ปล้นที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์, เผยแพร่: 29 ต.ค. 2566
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9660000097147
[2] รายงานกรรมการพิจารณาการจัดซื้อขายที่ดินบางรายของพระคลังข้างที่


กำลังโหลดความคิดเห็น