หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
นิด้าโพลบอกว่า ความนิยมของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พุ่งสูงกว่าการสำรวจครั้งก่อน เช่นเดียวกับความนิยมของพรรคก้าวไกล แต่ชะตากรรมของทั้งพิธาและพรรคก้าวไกลกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลังจากกกต.ก็มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกลโดยเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ. 2560
หลายคนมองว่า รอดยากเพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้อย่างชัดแจ้งไว้แล้วว่า การที่พิธาและพรรคก้าวไกลเสนอเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งเป็นการใช้นโยบายทางการเมืองโดยนำสถาบันฯ ลงมาเพื่อหวังผลในการได้คะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้งซึ่งเป็นผลทำให้สถาบันฯ ตกเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนจึงถือว่ามีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ ได้ในที่สุด
ดูเหมือนพรรคก้าวไกลก็เตรียมทำใจไว้แล้วว่า จะถูกยุบพรรค กรรมการบริหารถูกตัดสิทธิ์ และได้เตรียมพรรคใหม่เอาไว้แล้ว พร้อมกับเตรียมดันสส.แถวสามขึ้นมารับไม้ต่อ เชื่อกันว่าแม้จะถูกยุบพรรคก็ไม่ได้ทำให้ความร้อนแรงของพรรคก้าวไกลลดน้อยลง และเชื่อกันว่า พรรคใหม่จะชนะเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้าเหมือนเดิม แต่ยังไม่น่าจะสามารถชนะเลือกตั้งได้เสียงเกินครึ่ง คงจะต้องเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนเดิม
หนทางเดียวที่พวกเขาจะได้เป็นรัฐบาลถือครองอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิมคือ ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์และสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ซึ่งมีแนวโน้มสูงมากว่าวันนั้นจะมาถึงในอนาคต เพราะคนรุ่นใหม่ที่ถูกเติมเข้ามาในการเลือกตั้งแต่ละครั้งล้วนแล้วแต่มีความนิยมในพรรคของพวกเขา
ตอนนี้รอดูว่าผู้นำรุ่นที่สามของพรรคที่สามของพวกเขาจะเป็นใครมีบารมีมากพอที่จะนำพาพรรคเช่นเดียวกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือ พิธาหรือไม่ หรือส่งคนมาประคองพรรครักษาฐานเสียงไว้ก่อนและรอคอยการกลับมาของแกนนำรุ่นแรกอย่างธนาธร และปิยบุตร แสงกนกกุลที่ใกล้จะพ้นโทษจากการโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองครบ 10 ปีในปีพ.ศ.2573 นั่นคือหากรัฐบาลอยู่ครบ 4 ปีจะเลือกตั้งในปี 2570 หลังจากนั้นมีเลือกตั้งอีก 1 สมัยทั้งธนาธรและปิยบุตรจะกลับมานำพรรคได้ เชื่อกันว่าเมื่อถึงสมัยนั้น มวลชนของพรรคจะกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่และอาจจะทำให้พรรคชนะเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากและสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ และเมื่อนั้นธนาธรก็จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ถ้าถามว่าทำไมพรรคก้าวไกลหรือพรรคก้าวใหม่ที่จะมาทดแทนจะยังไม่ชนะเลือกตั้งเกินครึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมคิดว่า พรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้น่าจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งและผลักให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านไปอีกสมัย และพรรคก้าวไกลยังไม่น่าจะมีคนที่มีความโดดเด่นได้อย่างพิธาที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคแถวที่สาม เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น ศิริกัญญา ตันสกุล ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ์ หรือวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ฯลฯ
ที่สำคัญพรรคก้าวไกลจะต้องทำสงครามเลือกตั้งกับพรรคเพื่อไทยที่จะมีทักษิณมานำทัพเพื่อผลักดันลูกสาวคือ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธารขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ ความหวังเดียวของฝ่ายอนุรักษนิยมที่จะต้านทานพรรคก้าวไกลหรือพรรคก้าวใหม่ก็ตามก็ต้องพึ่งพาพลังของทักษิณนี่แหละ และนับแต่จากนี้เราจะเห็นทักษิณเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น พรรคการเมืองอื่นก็ไม่มีทางเลือกมากไปกว่าการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านในสมัยนี้ก็อาจจะเข้าร่วมรัฐบาลในสมัยหน้าเพื่อโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกลหรือพรรคก้าวใหม่ให้เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียว
ทักษิณจะต้องใช้พลังที่เขามีอยู่ทุกวิถีทางเพื่อผลักดันลูกสาวของเขาให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้สำเร็จ และน่าจะเป็นการต่อสู้ทางการเมืองครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว
มีโอกาสมากทีเดียวที่อุ๊งอิ๊งจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของไทยต่อจากอาของเธอ แม้คนส่วนใหญ่จะสงสัยในความสามารถและสติปัญญาของเธอก็ตาม และอาจจะนำรัฐบาลไปสู่จุดถดถอยต่ำสุดนั่นก็คืออนาคตของฝ่ายอนุรักษนิยมที่จะตกต่ำลงไปด้วย และในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหากเกิดขึ้นหลังปี 2573 ธนาธรและปิยบุตรจะพ้นโทษแบนทางการเมืองกลับมานำพรรคของเขาไม่ว่าวันนั้นจะถูกยุบไปกี่พรรคแล้วพรรคนั้นจะชื่ออะไรก็ตาม ส่วนทักษิณวันนั้นก็น่าจะหมดเขี้ยวเล็บแล้วเพราะในปี 2573 เขาจะมีอายุ 81 ปี
จะเห็นว่า พรรคที่มีต้นทางมาจากพรรคอนาคตใหม่ มาพรรคก้าวไกลและพรรคต่อไปต่อไปนั้นจะยืนอยู่กับกาลเวลามากกว่า ในขณะที่พรรคของฝ่ายอนุรักษนิยมที่วันนี้นับพรรคเพื่อไทยรวมอยู่ด้วยนั้นจะถดถอยลงไปเรื่อยๆ มีใครบ้างจะกล้าบอกว่าพรรคการเมืองที่เป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลทุกพรรคในเวลานี้จะเติบใหญ่ขึ้นตามกาลเวลาในอนาคตบ้าง หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่มีใครคิดบ้างว่าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้
เท่าที่เห็นก็มีคนบางคนรอคอยว่าจะเกิดพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดตรงข้ามกับพรรคก้าวไกลนั้นก็คือ มีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อมาแย่งชิงมวลชนกับพรรคก้าวไกล แต่ถ้าเรามองสภาพแวดล้อมและภูมิศาสตร์ทางการเมืองในปัจจุบันแล้ว อาจจะเป็นความหวังเพียงริบหรี่เท่านั้น ถ้ามองทางความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่า โอกาสของพรรคการเมืองที่จะเข้ามาท้าทายโครงสร้างของสังคมและรูปแบบของรัฐนั้นมีความเป็นไปได้ที่มากกว่า แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้นและเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงอีกครั้งของสังคมไทย
แล้วหลังจากนั้นการเมืองไทยจะกลับไปมีสภาพอย่างไรนั้นไม่อยากจะคาดเดา เราเคยพูดกันหลายครั้งแล้วว่าการรัฐประหารไม่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว แต่มันก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งเสมอมา
แต่ถ้าถามถึงทางอื่นที่จะทัดทานและตั้งรับกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็ยังมองไม่เห็นหนทาง และต้องยอมรับว่าวันนี้ผลิตผลของนักวิชาการอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีความคิดไปทางปฏิกษัตริย์นิยมนั้นได้เข้ายึดครองคนรุ่นใหม่ของสังคมและวันนี้ลามจากรั้วมหาวิทยาลัยเข้าไปสู่ระดับโรงเรียนด้วยซ้ำซึ่งไม่แปลกอะไรที่การสำรวจความนิยมของพรรคก้าวไกลและพิธาจะได้คะแนนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าวันนี้ยังไม่เกิน 50 % แต่แนวโน้มและทิศทางก็มุ่งไปสู่ทางนั้น
พวกเขามีความสำเร็จในการชักจูงคนรุ่นใหม่ให้มองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ฉุกคิดว่า นักการเมืองต่างหากที่จะนำพาประเทศไปสู่ความล่มจม ถ้าเราไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเสาหลักของสังคมไทย วันนี้เราก็อาจจะจมอยู่ใกล้กับประเทศรอบๆ บ้านเรา และทุกครั้งที่สังคมไทยมีความขัดแย้งพระมหากษัตริย์ก็จะลงมาปัดเป่าความขัดแย้งให้คนในชาติกลับมามีความสามัคคีกันอีกครั้ง หากไม่มีสถาบันกษัตริย์แล้วเราลองคิดว่าหากเกิดความขัดแย้งขึ้นเราจะพึ่งพาใครมาเป็นตัวกลางของสังคมได้บ้าง
แม้จะต้องยอมรับว่า วันนี้คนจำนวนไม่น้อยต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาททางการเมืองเพราะเบื่อหน่ายกับนักการเมืองรุ่นเก่าที่มีแต่ภาพลบมองเห็นแต่คนที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองนั่นดูจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ผิดกันแต่พรรคการเมืองที่คนจำนวนมากฝากความหวังไว้นั้นมีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรูปแบบและระบอบของรัฐ และเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่อาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองอย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเอาไว้ แม้ว่าพิธาจะพูดคำมั่นต่อหน้าพระว่า ต้องการทำให้มั่นคงสถาพรก็ตาม
แน่นอนว่าเมื่อเรายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เสียงของคนส่วนใหญ่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของบ้านเมืองเราว่าจะให้ไปทางไหน แต่ต้องมั่นใจให้ได้ว่าทิศทางที่เราจะก้าวไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนประเทศชาติของเรา และไม่ละทิ้งรากเหง้าอันดีงามของสังคมไทยไป
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan