xs
xsm
sm
md
lg

ดิจิทัลวอลเล็ตเอาเงินจากไหน?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ในการอภิปรายรัฐบาลตามมาตรา 153 ของสมาชิกวุฒิสภานั้นมีประเด็นสำคัญคือเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่กลับมาพูดกันอีกครั้ง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยืนยันว่า จะยังเดินหน้าต่อไป โดยจะประชุมใหญ่คณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตในวันที่ 10 เมษายน และยืนยันว่า ในไตรมาสที่ 4 (เดือนตุลาคม-ธันวาคม) เงิน 10,000 บาทจะถึงมือประชาชน และยืนยันว่าจะแจกตามเงื่อนไขเดิม 50 ล้านราย

แต่สิ่งที่จุลพันธ์ไม่ได้พูดให้ชัดว่าจะเอาเงินมาจากไหนจะใช้เงินกู้หรือไม่ ออกเป็น พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก.จุลพันธ์ไม่ตอบ บอกเพียงว่า “ต้องรอฟังคณะกรรมการชุดใหญ่”

ก่อนหน้านี้ถ้าจำกันได้มีข่าวว่า รัฐบาลจะกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้ โดยได้สอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าสามารถทำได้หรือไม่ และคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งคำตอบว่าสามารถดำเนินการกู้เงินตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อทำโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทได้โดยเป็นไปตามอำนาจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และทางคณะกรรมการนโยบายโดยคณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อสังเกตว่าจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังมาตรา 53 และมาตรา 57 ด้วย

มาตรา 53 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 ระบุว่าการกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะให้กระทรวงการคลังกระทำได้โดยต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะและเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศโดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน

คีย์เวิร์ดสำคัญของมาตรา 53 คือ “เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศโดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน”

เมื่อได้รับคำตอบอย่างนั้น รัฐบาลก็นิ่งเฉยไปพักใหญ่ เพราะไม่สามารถบอกว่าจำเป็นเร่งด่วนและประเทศวิกฤตอย่างไร เพียงแต่ส่งเสียงมาเป็นกระเส็นกระสายว่า ยืนยันจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อ จนกระทั่งมายืนยันอีกครั้งว่าจะแจกในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ตามเงื่อนไขเดิม ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า รัฐบาลจะเอาเงินจากไหน

มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอาจจะตั้งงบประมาณไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่จะเข้าสภาฯ และจะสามารถนำมาใช้ได้ทันในไตรมาสที่ 4 ตามที่ประกาศไว้ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนถามว่า ทำไมไม่ใส่ไว้ในงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ตอนนั้นจุลพันธ์บอกว่า การเลือกเส้นทางการออก พ.ร.บ.การกู้เงินเป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดแล้วเพราะในสภาผู้แทนฯ ไม่ว่าจะฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลสามารถอภิปรายถกกันตั้งกรรมาธิการปรับลดทอนเพิ่มหรือแก้ไขเนื้อหาอย่างไรก็เป็นสิทธิของสมาชิกเป็นช่องทางที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบโดยสมาชิกตัวแทนของประชาชนอยู่แล้ว จึงไม่ปรากฏอยู่ในงบประมาณแผ่นดินปี 2567

แต่ก็เป็นไปได้ว่า เมื่อมีคำเตือนเรื่อง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 53 จากคณะกรรมการกฤษฎีกา รัฐบาลจึงไม่กล้าที่จะใช้ช่องเงินกู้ เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะมีความผิด และธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นก้างชิ้นโตของรัฐบาลก็ยืนยันเสมอมาว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต และไม่สนับสนุนการแจกเงินดังกล่าว แต่พรรคเพื่อไทยก็ถอยไม่ได้เพราะเป็นนโยบายที่ประกาศไว้ตอนหาเสียง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเดินทางไปไหนก็มีคนถามว่า เมื่อไหร่จะแจกเงิน

ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ช่องทางการเงินจากงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ซึ่งอาจจะสอดคล้องกับที่พรรคเพื่อไทยเคยแจ้งที่มาของเงินไว้กับ กกต.ด้วยว่า จะใช้การบริหารระบบงบประมาณปกติและบริหารระบบภาษีซึ่งมีที่มาจาก 4 แหล่งได้แก่ 1. ประมาณการว่าปี 2567 รัฐจะจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น 260,000 ล้านบาท 2. การจัดเก็บภาษีนิติบุคคลจะเพิ่ม 100,000 ล้านบาท 3. การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท 4. การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท

หากเป็นเช่นนั้นพรรคเพื่อไทยก็จะไม่กระทำผิดเงื่อนไขที่แจ้งเอาไว้ เพราะถ้าทำผิดก็มีคนเตือนไว้แล้ว โดย ป.ป.ช.ได้ออกมาเตือนว่า การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 กับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้นมีความแตกต่างกันสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรดำเนินการตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่ มิฉะนั้นจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับพรรคการเมืองว่าไม่ว่าจะหาเสียงไว้อย่างไรเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้ก็ได้

ดังนั้น ถ้าผิดจากที่หาเสียงเอาไว้ก็ต้องมีคนไปร้องอย่างแน่นอน หรือแม้แต่ กกต.เองซึ่งเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายพรรคการเมืองก็จะต้องแสดงบทบาทของตัวเองออกมา แม้จะไม่มีบทบัญญัติโทษไว้ว่า หากพรรคการเมืองแจ้งที่มาของเงินในนโยบายที่ใช้หาเสียงแล้วไม่ดำเนินการตามนั้นจะมีความผิดอย่างไร ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

แต่ถ้าหากพรรคเพื่อไทยใช้ที่มาของเงินตามที่แจ้งไว้กับ กกต.โดยใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ส่วนหนึ่งก็พอจะเป็นช่องทางที่รับฟังได้

ถ้ารัฐบาลยังยืนยันจะใช้เงินกู้ 500,000 ล้านบาทมาใช้ในโครงการนี้ ก็ต้องเสี่ยงกับความผิดทั้งจาก พ.ร.บ.วินัยเงินการคลัง ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาออกมาเตือน ความผิดที่ไม่ได้เป็นไปตามที่มาของเงินที่แจ้งไว้กับ กกต.ไม่ฟังเสียงเตือนจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว และเสียงเตือนจากนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จำนวนมาก

แต่รู้ไหมว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 245 บัญญัติไว้ว่าเพื่อประโยชน์ในการระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผลการตรวจสอบการกระทําที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรงต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อพิจารณา

ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นพ้องด้วยกับผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หากที่ประชุมร่วมเห็นพ้องกับผลการตรวจสอบนั้นให้ร่วมกันมีหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบโดยไม่ชักช้าและให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย

สาระสำคัญของมาตรานี้คือ “เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ” คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) จะต้องปรึกษาหารือกับ กกต.และ ป.ป.ช.ทันทีแค่ “อาจเกิดขึ้น” ไม่ต้องรอให้เกิดขึ้นเสียก่อน

ดังนั้น ต้องดูว่าคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตที่จะประชุมในวันที่ 10 เมษายนนี้จะแถลงถึงที่มาของเงินที่จะใช้หรือไม่ หากจะใช้เงินส่วนหนึ่งจากงบประมาณรายจ่าย 2568 ตามที่แจ้งต่อ กกต.ไว้ก็ไม่มีอะไรน่าติดใจ แต่หากยังยืนที่จะใช้เงินกู้ 500,000 ล้านมาแจกประชาชน ก็จะไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตือนไว้แล้วว่า อาจจะทั้งขัดต่อกฎหมายหลายฉบับและส่งผลกระทบต่อภาวะการเงินการคลังของประเทศ

ถึงตอนนั้นก็ต้องดูว่า คตง. ป.ป.ช. กกต.จะละเว้นการทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้หรือไม่ และถ้าเพิกเฉยจะกระทำผิดเสียเองหรือไม่
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น