คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติลงคะแนนเสียงให้มีการหยุดยิงทันทีในฉนวนกาซา และให้มีการปลดปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลและชาติอื่นๆ ให้เป็นอิสระ
หมายความว่ากองทัพอิสราเอลจะต้องหยุดปฏิบัติการทันทีและให้กองกำลังฮามาสปล่อยตัวประกันซึ่งคาดว่ายังเหลืออยู่ 134 ราย
มติของคณะมนตรีความมั่นคงครั้งนี้ถือว่าสำคัญเพราะ 14 เสียงเห็นพ้องให้มีการหยุดยิงและปล่อยตัวประกันขณะที่ตัวแทนของสหรัฐอเมริกางดออกเสียง
หมายความว่าสหรัฐอเมริกาวีโตมติของคณะมนตรีความมั่นคงกรณีของอิสราเอลอย่างที่เคยกระทำ ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงแม้แต่รัฐบาลอิสราเอลก็แปลกใจ
และนั่นนำไปสู่ความไม่พอใจอย่างมากของรัฐบาลอิสราเอลซึ่งตัดสินใจยกเลิกการเยือนสหรัฐอเมริกาของคณะตัวแทนเหมือนเป็นการประท้วงจุดยืนของสหรัฐฯ
การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจไม่วีโตแต่งดออกเสียง ทำให้มติของคณะมนตรีความมั่นคงเป็นผล นักวิเคราะห์ต่างมองว่าสหรัฐฯ ไม่สามารถทนต่อเสียงประณามของประชาคมโลกต่อไป
ที่ผ่านมาอิสราเอลเป็นเป้าหมายของการประณามโดยนานาชาติว่าได้กระทำอาชญากรรมสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์อย่างโหดเหี้ยม และสหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนด้านอาวุธและความช่วยเหลือด้านการเงินอย่างเต็มที่
มติของคณะมนตรีความมั่นคงไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ จะไม่ส่งอาวุธให้อิสราเอลต่อไปซึ่งนั่นจะเป็นผลสำคัญที่จะให้อิสราเอลหยุดปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา
รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล นายโยอัฟ กัลลันต์ อยู่ในระหว่างการเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และพบกับรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พลเอกลอยด์ ออสติน และคงจะคุยกันต่อไปว่าจะทำอย่างไร
มีติของคณะมนตรีความมั่นคงถูกพิสูจน์อีกครั้งว่าเป็นเสือกระดาษ เพราะหลังจากมติไม่กี่วันก่อนกองทัพอิสราเอลยังคงปฏิบัติการโจมตีทิ้งระเบิดต่อเนื่องในฉนวนกาซา
กองทหารภาคพื้นดินยังคงใช้รถถังและยานรบอื่นๆ โจมตีเป้าหมายโดยเฉพาะโรงพยาบาลซึ่งกองทัพอิสราเอลอ้างว่าเป็นแหล่งที่ซ่อนของกลุ่มติดอาวุธฮามาส และอ้างว่าได้จับกุมตัวไปมากกว่า 400 คน
ที่ผ่านมาอิสราเอลมักอ้างความสำเร็จในการจัดการกับกลุ่มติดอาวุธในกาซา แต่ไม่เคยแสดงให้เห็นนักรบในชุดพรางและอาวุธแต่จะมีพลเรือนถูกสั่งให้ถอดเครื่องแต่งกายและนุ่งกางเกงบ็อกเซอร์เท่านั้น
การไม่สนใจมติของคณะมนตรีความมั่นคงไม่ได้สร้างความแปลกใจเพราะที่ผ่านมาอิสราเอลไม่ได้สนใจองค์กรระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติหรือแม้กระทั่งศาลโลก
ก่อนหน้านี้ศาลโลกได้มีคำวินิจฉัยว่าอิสราเอลได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ โดยมีหลักฐานชัดเจนนำเสนอโดยคณะทนายความของประเทศแอฟริกาใต้
แต่อิสราเอลก็ยังคงทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศต่อไปและมียอดผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์มากกว่า 32,000 รายส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี
ผู้บาดเจ็บมีมากกว่า 74,000 รายยังนับผู้สูญหายอยู่ภายใต้อาคารที่ถูกระเบิดถล่มทลายจนไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยได้อีกต่อไป ความเสียหายเป็นไปทั่วพื้นที่ฉนวนกาซา
นอกจากไม่ฟังคำสั่งของศาลโลกและมติของคณะมนตรีความมั่นคงแล้วกองทัพอิสราเอลยังคงบุกเข้าไปในพื้นที่ราฟาห์ ซึ่งเป็นแหล่งสุดท้ายที่พลเรือนปาเลสไตน์เข้าไปหลบภัย
แต่อยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยเพราะกองทัพอิสราเอลทิ้งระเบิดและโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยทุกแห่งโดยอ้างว่าเป็นซ่องสุมของกลุ่มติดอาวุธ
ทางเดียวที่จะหยุดยั้งกองทัพอิสราเอลได้ก็คือคำประกาศจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ว่าจะหยุดส่งอาวุธและกระสุนต่างๆ ให้กองทัพอิสราเอล
แต่นั่นคงไม่เกิดขึ้นเพราะโจ ไบเดน ต่างเกรงกลัวอิทธิพลของชาวยิวที่กุมอำนาจ เหนือนักการเมืองในสภาคองเกรส และวุฒิสภาอย่างมั่นคงนอกเหนือจากระบบการเงินการธนาคาร และกระทรวงการต่างประเทศ
ดังนั้นองค์การสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อไม่สามารถบังคับอิสราเอลให้หยุดยิงได้เพราะอ้างเงื่อนไขสารพัด
เหตุผลที่แท้จริงคืออิสราเอลต้องการกวาดล้างชาวปาเลสไตน์ให้พ้นจากฉนวนกาซาและเปิดทางให้ชาวยิวจากประเทศอื่นๆ หรือชาวอิสราเอลเข้าไปอาศัย
ข่าวที่น่าสมเพช ก็คือมีข่าวว่าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้จองพื้นที่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนอกฝั่งกาซา เพื่อสร้างบ้านพักหรูให้ชาวอิสราเอลได้อยู่อาศัย
ความไม่ใส่ใจต่อกฎหมายระหว่างประเทศของอิสราเอลจึงเป็นสิ่งที่คาใจประชาคมโลก และกล้าประกอบอาชญากรรมสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไม่สนใจเสียงประณาม
สหรัฐฯ จึงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซาและการไม่วีโตมติล่าสุด คงเป็นเพราะหวั่นผลกระทบระยะยาว และความน่าเชื่อถือในนานาประเทศ
ดังนั้น องค์การสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงจึงเป็นเสือกระดาษและเป็นแหล่งที่ประเทศต่างๆ มานั่งคุยและโต้แย้งในเกมการเมืองระหว่างประเทศเท่านั้นเอง