หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ใครต่อใครต่างก็เชื่อว่า เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลจะกวาดที่นั่งได้มากกว่าเดิม และสัญญาณที่จะเป็นตัวบ่งชี้ก็คือการเลือกตั้งนายกอบจ. แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า การเลือกตั้งส.ส.ครั้งหน้าพรรคก้าวไกลยังไม่น่าจะได้ที่นั่งเพิ่มมากนัก และอย่างไรพรรคก้าวไกลก็ไม่สามารถได้เสียงข้างมากจนสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ นั่นหมายความว่า แม้พรรคก้าวไกลจะได้เลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 อีกครั้ง พรรคการเมืองอื่นๆจะจับมือกันตั้งรัฐบาลและผลักก้าวไกลให้ไปเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนเดิม
ตัวชี้วัดที่สำคัญก็คือ พรรคก้าวไกลจะรอดการถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคหรือไม่ ถึงตอนนี้ถ้าดูข้อกล่าวหาแล้วก็มีแต่คนพูดว่ารอดยาก ถ้าอย่างนั้นแกนนำรุ่นนี้จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองทั้งหมดก็รอดูว่าใครจะเป็นรุ่น 3 ที่จะมานำพรรค และมีบารมีมากพอที่จะสร้างความนิยมได้ไหม แน่นอนล่ะว่า มวลชนซึ่งเป็นฮาร์ดคอร์ของพรรคซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ก็คงจะตามไปเลือก ฐานความนิยมของพรรคก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ในวงกว้างคนที่จะขึ้นมานำพรรคก็มีผลต่อการตัดสินใจเหมือนกัน
ปัญหาก็อยู่กับฝ่ายอนุรักษนิยมนั่นแหละว่าจะชะลอความร้อนแรงของพรรคก้าวไกลหรือพรรคใหม่หากพรรคก้าวไกลถูกยุบได้แค่ไหน เลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะยังพอไหว แต่อนาคตข้างหน้าเล่าจะต้านทานสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เมื่อทัศนคติแห่งความเชื่อที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐถูกฝังในคนรุ่นใหม่รุ่นแล้วรุ่นเล่าจากนักวิชาการในรั้วมหาวิทยาลัยจนกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศในวันหนึ่งข้างหน้า
ต้องยอมรับว่า อนาคตของประเทศซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ในช่วงกำลังแสวงหาและอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยรุ่นแล้วรุ่นเล่านั้น ถูกห้อมล้อมด้วยนักวิชาการที่มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนมาก พวกนี้ทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่าสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วสถาบันกษัตริย์นี่แหละที่ทำให้ชาติไทยมีเอกราชและเจริญวัฒนามาได้จนถึงวันนี้ไม่ใช่เพราะนักการเมือง
การยึดกุมความเชื่อของคนรุ่นใหม่เอาไว้ได้ ทำให้ฝ่ายต่อต้านสถาบันกษัตริย์สามารถคุมกระแสในสังคมให้เบี่ยงเบนไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้ด้วยการควบคุมโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงมวลชนมากกว่าสื่ออื่นๆในยุคนี้ สามารถโน้มน้าวและทำให้เชื่อว่าทิศทางของการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นฝ่ายที่มีชัยในอนาคต ในอดีตที่เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้น พรรคคอมมิวนิสต์ทำได้โดยการแทรกซึมและจัดตั้งแบบลับๆ แต่ก็สามารถเบี่ยงเบนความคิดของรุ่นใหม่ให้มีความเชื่อว่า เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินได้ไม่น้อย
แต่วันนี้ฝ่ายต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์มีความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยมากขึ้น มีเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการผลิตสื่อจัดตั้งสำนักข่าวและองค์กรที่เป็นกระบอกเสียงขึ้นมาอย่างเปิดเผย ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ และมีพรรคการเมืองที่เป็นธงนำในการนำอุดมการณ์มาขับเคลื่อนเพื่อไปสู่เป้าหมายที่มุ่งหวัง ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่ในช่วงของการถดถอย และไม่สามารถยึดครองปลูกฝังความเชื่อในหมู่คนรุ่นใหม่เอาไว้ได้
แม้จะชัดเจนแล้วว่า วันนี้พลังที่จะต้านทานพรรคก้าวไกลนั้นถูกฝากความหวังไว้กับทักษิณ แลกกับการกลับประเทศและการไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว วันนี้ทักษิณได้รับการพักโทษแล้ว ออกมาเดินสายเยี่ยมบ้านเกิดราวกับพระยาเหยียบเมือง จนเกือบทำให้ลืมไปแล้วว่า นี่คือนักโทษคดีทุจริตที่เพิ่งได้รับการพักโทษและยังอยู่ในทัณฑ์บนของกรมคุมประพฤติ ไปไหนมาไหนก็ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่รัฐ มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อย่างพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. นายธรรมนัส พรหมเผ่า และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีต้องขึ้นไปต้อนรับ จะไปไหนก็มีตำรวจล้อมหน้าล้อมหลัง
เมื่อเห็นภาพของทักษิณที่เป็นราวกับพระยาเหยียบเมืองแล้ว เราก็คงนึกย้อนไปได้ว่า ครั้งหนึ่งคนเชียงใหม่กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า ทักษิณคือพระเจ้ามูลเมืองกลับชาติมาเกิด และภาพจำลองของพระเจ้ามูลเมืองที่ปรากฎก็ถูกวาดขึ้นมาโดยมีทักษิณเป็นต้นแบบนั่นเอง แม้ต่อมานักวิชาการจะบอกว่าพระเจ้ามูลเมืองไม่เคยมีในสารบบของเจ้าผู้ครองนครล้านนามาก่อนก็ตาม
วิกิพีเดียบันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ว่า กลุ่มคนรักเชียงใหม่ มี นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล เป็นแกนนำกลุ่ม และมีสตรีอายุประมาณ 50 ปี นุ่งขาวห่มขาวทำหน้าที่เป็นร่างทรงของพระเจ้ามูลเมืองที่ทางกลุ่มเชื่อว่าเป็นอดีตชาติของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ร่างทรงได้กล่าวว่าในชาติก่อนของพระเจ้ามูลเมือง ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากระหว่างการทำสู้รบกับฝ่ายพม่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้ฆ่าคนเป็นจำนวนมากและขนเอาทรัพย์สินของชาวพม่ามาด้วย เป็นเหตุให้มีกรรมติดตัวมาจนถึงชาตินี้และเป็นกรรมหนักต้องทำการแก้ด้วยการสร้างบารมี ในพิธีได้นำธนบัตรชนิดใบละ 1,000 และ 500 บาท ส่งคืนแก่กษัตริย์ชาวพม่าโดยส่งไปทางด้านหลังของพระพุทธรูปปางห้ามญาติที่นำมาประกอบพิธี ตามความเชื่อของกลุ่ม
ก็เหลือแต่บทพิสูจน์ว่าบารมีของทักษิณจะมีเหลือแค่ไหน เขาจะสามารถนำพาฝ่ายอนุรักษนิยมต้านทานความร้อนแรงของพรรคก้าวไกลได้ไหม หรือว่าภาพของความเป็นอภิสิทธิชน ตอกย้ำความเชื่อที่ว่าคุกมีไว้ขังคนจน ความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำจากกรณีของทักษิณจะยิ่งเป็นเชื้อให้พรรคก้าวไกลสามารถนำมาปลุกสังคมด้วยแนวคิดคนเท่ากันจนสามารถสร้างคะแนนนิยมได้มากขึ้น
และแม้ว่าจะมีฝ่ายอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่งมองถึงความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาทักษิณ แต่ก็ยังมีฝ่ายอนุรักษนิยมไม่น้อยที่ยังไม่ไว้วางใจทักษิณ คนกลุ่มหลังนี้อาจจะเป็นตัวแปรที่สำคัญหากพวกเขาตัดสินใจออกจากหว่างเขาควาย หากจะต้องเลือกระหว่างอยู่กับระบอบทักษิณที่พวกเขาชิงชังกับพรรคของคนรุ่นใหม่ที่แม้จะท้าทายต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ยังไม่มีจุดด่างพร้อยในการฉ้อฉลแบบระบอบทักษิณ โดยเฉพาะภาพของอุ๊งอิ๊ง แพทองธารที่อาจจะถูกจับมาเปรียบเทียบศิริกัญญา ตันสกุล แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารงานมาทั้งคู่ แต่แทบจะสู้กันไม่ได้เลยไม่ว่าคุณสมบัติด้านไหน ถ้าหากมีตัวเลือกอยู่เพียงแค่นี้
แม้ว่าหลังจากนี้ทักษิณจะเข้ามากำหนดทิศทางของบ้านเมืองมากขึ้น กำหนดนโยบายที่รัฐบาลจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อช่วงชิงมวลชนกลับมา ในบทบาทของ 1 นครา 3 นายกรัฐมนตรี เศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีในทางพิธีกรรม เดินสายไปต่างประเทศ เป็นเซลล์แมนขายของ ไปต่างจังหวัดหาสินค้ามาขาย อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรีฝึกงาน และทักษิณกำกับนโยบายผ่านมือไม้ของเขาไม่ว่าจะเป็นภูมิธรรม เวชยชัย ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี หรือหมอมิ้ง พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯที่ถูกวางไว้ให้กำกับการทำงานของเศรษฐาและคอยตัดสินใจในนโยบายที่สำคัญ แต่บทบาทในฐานะพรรคฝ่ายค้านของพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นฝ่ายตรวจสอบก็จะยิ่งโดดเด่นเพราะเป็นฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่คนลงมือทำ
และถ้ารัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่มีทักษิณคุมหางเสือยังไม่สามารถพลิกฟื้นประเทศได้อย่างมีรูปธรรมและเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีแบบจับต้องได้ เสียงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะมีมากขึ้น ต้องยอมรับนะว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังมีความยึดมั่นต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ขณะเดียวกันเขาต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้พรรคก้าวไกลเข้ามาบริหารบ้านเมืองเพราะเบื่อหน่ายนักการเมืองรุ่นเก่าและต้องการเห็นคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ โดยเชื่อว่า แม้คนรุ่นใหม่จะนำพาพรรคของพวกเขาเข้ามาถือครองอำนาจรัฐได้ ก็ไม่มีวันที่จะไปลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ได้
ขณะเดียวกันหากพรรคก้าวไกลได้บทเรียนจากความพยายามยกเลิกมาตรา 112 แล้วเขียนกฎหมายหมวดพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่ให้ได้รับการคุ้มครองลดน้อยลง ที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้แล้วว่า พวกเขาต้องการเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แล้วพรรคก้าวไกลละทิ้งความคิดที่จะสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ลงไป แล้วมุ่งมั่นที่จะเข้าไปบริหารประเทศ โดยไม่แตะต้องสถาบันกษัตริย์ เมื่อนั้นความนิยมของพวกเขาอาจจะเพิ่มขึ้นก็ได้
และบางทีการทำตัวอยู่เหนือกฎหมายของทักษิณนี่แหละที่จะเป็นตัวเร่งให้พรรคก้าวไกลหรือพรรคใหม่ของพวกเขาเติบโตมากขึ้น สอดคล้องกับวันเวลาและสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยืนอยู่ข้างพวกเขา
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan