เป็นอันว่า... “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนรัสเซีย” ไปแล้วเมื่อวัน-สองวันนี้!!! สำหรับการเลือกตั้งผู้นำประเทศหมีขาวที่ส่งผลให้คุณน้า “วลาดิมีร์ ปูติน” ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ท่านมีสิทธิ “อยู่ยาวว์ว์ว์” ไปอีก 6 ปีข้างหน้า หรือกลายเป็นผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในรอบ 200 ปีของประวัติศาสตร์รัสเซีย อันเนื่องมาจากการกวาดคะแนนนิยมในการเลือกตั้งคราวนี้ไปถึง 80 เกือบ 90 (87.28) เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนทั่วประเทศ หรือกว่า 76 ล้านเสียงเอาเลยถึงขั้นนั้น...
โดยจะเป็นประชาธิปไตย-ไม่เป็นประชาธิปไตยตาม “มาตรฐานตะวันตก” มาก-น้อยขนาดไหน...อันนั้น คงต้องไปว่ากันตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...บรรดาพวกโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่พวกผู้นำในแต่ละรายเคยออกมาทำนาย-ทายทัก ว่าอาจต้องรบกับรัสเซีย กับจีน-อิหร่าน หรือเกาหลีเหนือภายในอีกสี่-ซ้าปีนับจากนี้ ยังไงๆ คงหนีไม่พ้นต้องเจอประธานาธิบดี “ปูติน” รายนี้นี่เอง ว่าคิดจะรบ-ไม่รบ คิดจะบุก-ไม่บุกยุโรปหรือไม่? ประการใด? เพราะถ้าว่ากันเฉพาะการบุกยูเครน ยึดครองดินแดนไว้ได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ หรือการบุกยุโรปทั้งยุโรป ที่ใครต่อใครในโลกตะวันตกเพียรพยายามแพร่โรคระบาด “Russophobia” หรือ “โรคกลัวรัสเซีย” อยู่ในทุกวันนี้ อาจยังไม่ใช่เป้าหมาย เป้าประสงค์ ของผู้นำหมีขาวรายนี้มากมายสักเท่าไหร่...
หรืออย่างที่คู่แข่ง-คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียคราวนี้ หัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายขวา “LDRP” “นายLeonid Slutsky” ยังอดไม่ได้ต้องออกมาสารภาพไว้ว่า เฉพาะแค่การเมืองรัสเซีย หรือการเมืองยุโรป อาจเป็นอะไรที่ “เล็กเกินไป” สำหรับเป้าหมายเป้าประสงค์ของผู้นำรายนี้ เพราะบทบาทประเทศรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” นั้น กำลังมุ่งไปสู่ “การเมืองโลก” หรือกำลังมุ่งไปสู่การผลักดันให้เกิด “เสียงส่วนใหญ่” ของโลก โดยจะเรียกว่า “โลกใต้” (Global South) หรือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” (Multipolar World) ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...แต่ย่อมไม่ใช่โลกของพวก “Anglo-Saxons” หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” (Unipolar World) ที่ถูกครอบครอง ผูกขาด มานานนับศตวรรษๆ โดยพวกโลกตะวันตกอีกต่อไปโดยเด็ดขาด!!!
นี่...อันนี้นี่แหละที่น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ ว่ามันจะมีความเป็นไปได้มาก-น้อยขนาดไหน??? สำหรับอีก 6 ปีข้างหน้าในการครองอำนาจของผู้นำรัสเซียรายนี้ เพราะว่าไปแล้ว...คงไม่ได้มีแต่ประธานาธิบดี “ปูติน” เท่านั้น ที่นั่งคิด-นอนคิด ที่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ดังกล่าว จนนักการเมืองรัสเซียที่เป็นคู่แข่ง-คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพอจับทางได้ แต่สำหรับนักการเมืองอีกราย ที่มีสิทธิ “อยู่ยาวว์ว์ว์” หรือมีสิทธิดำรงตำแหน่งผู้นำไปตลอดชีวิต อย่างผู้นำจีน หรืออย่างท่านประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านก็ดูจะคิดๆ ไปในแนวนี้อีกเหมือนกัน และด้วยการคิดไปในแนวนี้มาโดยตลอดนับสิบๆ ปีเห็นจะได้ ก็เลยก่อให้เกิดความ “เข้าถึง-เข้าใจ” ระหว่าง 2 มหาอำนาจแห่งโลก จนเกิดความเป็น “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” ระหว่างจีนและรัสเซีย ในการ “เปลี่ยนโลก” ทั้งโลก ให้เป็นโลกที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป หรือไม่ใช่โลกที่ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุม บังคับ ของพวก “Anglo-Saxons” ไปโดยตลอด...
และถ้าจะว่าไปแล้ว “เสียงส่วนใหญ่” ของโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศรัสเซียเท่านั้น ก็ดูจะเป็นไปในแนวนี้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เอาง่ายๆ...แค่ดูจากแถบแอฟริกาที่ผู้คนออกมาแห่ ออกมาเชียร์ประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย ทั้งที่อยู่กันคนละประเทศคนละทวีป จนแทบเกิดอาการ “คลั่งรัสเซีย” ในเมืองหลวง “Ouagadougou” แห่งประเทศ “Burkina-Faso” ไปแล้วในทุกวันนี้ มีการนำเอารูป “ปูติน” ไปติดเป็นแผ่นป้ายโฆษณาไปทั่วบ้าน-ทั่วเมือง เกิดการแห่แหนแสดงความยินดีกับประเทศรัสเซียหลังจากได้หันไป “ถีบทิ้ง” ประเทศฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคมที่ครองอำนาจฝังรากลึกอยู่ในดินแดนต่างๆ ของแอฟริกามานานเต็มที ไม่ต่างไปจากประเทศ “Mali” และ “Niger” ฯลฯ เป็นต้น...
โดยเฉพาะรายหลังนี้...ถึงกับตัดสินใจ “ยกเลิก” ข้อตกลงทางทหารกับคุณพ่ออเมริกา จากที่เคยอนุญาตให้ทหารอเมริกันนับร้อย-นับพัน เข้าไปก่อสร้างฐานปฏิบัติการเครื่องบินโดรน เพื่อไล่ล่าสังหารผู้ไม่ยอมศิโรราบให้กับอเมริกา โดยต่างหันไป “จูบปาก” กับรัสเซียและจีนเป็นรายๆ ไป และอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้นำประเทศอดีตเจ้าอาณานิคมอย่างฝรั่งเศส อย่างประธานาธิบดี “มาครง คนหนุ่ม” (Emmanuel Macron) ท่านเลยเปลี่ยนกิริยาอาการ จากที่เคยเป็นไปในแบบ “กลางๆ” หันมาเกลียดรัสเซีย-กลัวรัสเซีย หรือจากที่เคยเป็น “พิราบ” หันไปเป็น “เหยี่ยว” (Switches from Dove to Hawk) กันแทนที่ ถึงขั้นคิดจะส่งทหารฝรั่งเศสบุกเข้าไปในยูเครนอะไรไปโน่น...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่า “การเมืองรัสเซีย” รวมทั้ง “การเมืองจีน” จะเป็นประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตยตามมาตรฐานของตะวันตกหรือไม่? เพียงใด? แต่มันเป็นสิ่งที่มิอาจแยกขาดออกจาก “การเมืองโลก” ได้โดยเด็ดขาด!!! และสิ่งนี้นี่เองที่จะทำให้โลกทั้งโลกอาจต้อง “เปลี่ยนแปลง” ไปจากเดิมอย่างมิมีวันหวนกลับคืนได้อีก เพราะขณะที่ “ประชาธิปไตยอเมริกา” อันถือเป็นแบบอย่าง เป็นมาตรฐานในระดับโลกนั้น ชักไม่ได้หลงเหลือร่องรอยแห่งความเป็น “Democracy” หรือออกจะหนักไปทาง “Catastrophe” อย่างที่ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านเปรียบเทียบ เปรียบเปรย เสียดสี-เหน็บแนมไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้ ซึ่งก็คงไม่ได้เป็นสิ่งที่ “เกินเลย” ไปจากข้อเท็จจริงมากมายสักเท่าไหร่ เพราะขนาดคู่แข่ง-คู่ชิงประธานาธิบดีอเมริกาปลายปีนี้ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ยังต้องออกมาป่าวประกาศไว้เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (16 มี.ค.) ถึงขั้นว่า... “ถ้าหากเราไม่ชนะเลือกตั้งครั้งนี้...ผมเกรงว่าเราอาจไม่มีเลือกตั้งครั้งต่อไป!!!” หรือประชาธิปไตยอเมริกาอาจต้องถึงจุดจบ อาจต้องเกิดการ “นองเลือด” ทั่วไประเทศ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าประชาธิปไตยรัสเซียจะเป็นไปในรูปไหน? แต่การขึ้นมาครองอำนาจและอยู่ยาวว์ว์ว์ต่อไปอีก 6 ปีของผู้นำประเทศอย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” นั้น ย่อมน่าจะส่งผลให้เกิด “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ในระดับโลก โดยไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะใด? ก็ขึ้นอยู่กับ 2 มหาอำนาจอย่างรัสเซียและจีนว่าจะสามารถรวบรวม “เสียงส่วนใหญ่” ในการกำหนดทิศทางความเป็นไปของโลกในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณีกันแบบไหน? ช่วงไหน? จังหวะไหน? สามารถทำให้ “โลกใต้” หรือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” เป็นไปโดยราบรื่น-สงบ-สันติ มาก-น้อยเพียงใด???
เพราะขึ้นชื่อว่า “โลก” ซะอย่างแล้ว...ย่อมต้องมีปัญหาและอุปสรรคขัดขวางไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะปัญหาระดับคอขาดบาดตายภายในอนาคตเบื้องหน้าไม่ว่าจะเป็นโลกในชนิดใดๆ ก็ตาม แค่เฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากร ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ อาชญากรรมและการก่อการร้าย ฯลฯ เพียงเท่านี้...ก็ตายแล้ว!!! แต่ก็ยังมีปัญหาที่หนักไปทาง “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง อย่างเช่นปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาวะอากาศ ที่ทำให้พวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ทั้งหลายเขาเชื่อว่า มีแต่ต้องอาศัย “อำนาจสูงสุด” แห่งเดียวในโลกเท่านั้น ถึงจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างทันเหตุ ทันใจ ทันท่วงที ไม่เช่นนั้น...โอกาสที่โลกทั้งโลกจะ “ล่มสลาย” ลงไปต่อหน้า-ต่อตาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
หรืออย่างที่องค์กร “CSIS” (Center for Strategic and International Studies) และ “CNAS” (Center for a New American Security) เขาได้ระดมบรรดาผู้เชี่ยวชาญไม่ว่านักวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นักยุทธศาสตร์ความมั่นคง ตลอดไปจนผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศ ฯลฯ นับพันๆ คนมาถกเถียง อภิปรายและสรุปเป็นเอกสารรายงานที่เรียกๆ กันว่า “The Age of Consequence” เมื่อช่วงประมาณปี ค.ศ. 2008 โดยกำหนด “ฉากสถานการณ์” ความเป็นไปของโลกไว้ล่วงหน้า หรือช่วงประมาณปี ค.ศ. 2040 เอาไว้ 3 แบบ คือ 1. แบบ “base on expect” หรือแบบที่คาดว่าอุณหภูมิอากาศของโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 องศา 2. แบบ “severe” หรือแบบที่คาดว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นไปถึง 2.6 องศา และ 3. แบบ “Catastrophic” หรือแบบที่คาดว่าอุณหภูมิของโลกจะเตลิดเปิดเปิงไปถึง 5.6 องศาในจังหวะหนึ่ง จังหวะใดจนได้ ก่อนที่จะสรุปไว้ชัดเจนว่าเพียงแค่แบบแรกเท่านั้น ก็ยากที่จะหา “รัฐบาล” ใดๆ ในโลกนี้ที่มีขีดความสามารถพอจะรับมือกับฉากสถานการณ์ดังกล่าวได้...
ด้วยเหตุนี้...การ “เอาตัวรอด” หรือการอาศัย “อำนาจสูงสุด” เพียงอำนาจเดียว...ปกป้องตัวเองไม่ให้ต้อง “ล่มสลาย” ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ จึงถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง-ชอบธรรมเพียงพอแล้ว สำหรับผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ทั้งหลาย และอันนี้นี่เอง...ที่ถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ สำหรับผู้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลก ให้เป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ว่าจะอาศัยความเสมอภาค เท่าเทียม ความถูกต้อง-ยุติธรรม รับมือกับฉากสถานการณ์ดังกล่าวได้มาก-น้อยขนาดไหน???