มาถึงขั้นนี้...เรื่องของ “สงครามโลกครั้งที่ 3” คงแทบไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง เพราะดังที่ “พระสันตะปาปาฟรานซิส” ประมุขแห่งศาสนจักรคาทอลิก ท่านเคยสรุปไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วนั่นแหละว่า มันได้อุบัติขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!! เพียงแต่ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ หรือเป็นไปในทีละส่วนจนกว่าจะเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ในท้ายที่สุด ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตลองไปสำรวจตรวจสอบ กันอีกสักเที่ยว ว่าเอาไป-เอามาแล้ว...อะไรต่อมิอะไรมันจะไปไกล แบบไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ถึงขั้นอาจต้องกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” กันเลยหรือไม่? อย่างไร?
โดยถ้าว่าไปแล้ว...จะด้วยเหตุอันเนื่องมาจากความโง่ ความลิเบอร่าน ความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ รวมทั้งความล้มเหลวในด้านยุทธศาสตร์ ด้านนโยบาย ฯลฯ ของบรรดาพวก “โลกตะวันตก” ทั้งหลายนั่นแหละ ที่จะเป็นตัวกำหนด เป็นตัวชี้เป็น-ชี้ตายต่อโอกาสความเป็นไปในลักษณะที่ว่า ดังที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย อย่างเช่นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย อดีตทูตตุรเคีย อียิปต์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย “นายKanwal Sibal” ท่านถึงกับต้องร่ายเรียง อรรถาธิบายไว้ยืดยาว ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Reality check: Why the West risks dragging itself-and the world-into a nuclear nightmare” หรือตรวจสอบจากความจริงว่าเหตุใดถึงบรรดาพวกโลกตะวันตกถึงได้เสี่ยงที่จะฉุกลากกระชากถูตัวเองและโลกทั้งโลก ให้ร่วงหล่นลงไปสู่ “ฝันร้ายนิวเคลียร์” หรือนักวิเคราะห์ชาวรัสเซียผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรด้านกิจกรรมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (The Vatfor project) อย่าง “นายSergey Poletaev” ที่ได้ชี้นิ้วกล่าวโทษไปยังบรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ” ในโลกตะวันตกต่อกรณีความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย ถึงขั้นว่า...“Western expertise on the Ukraine conflict could lead the world to a nuclear disaster” หรือบรรดาคนเหล่านี้นี่เองที่กำลังนำพาโลกทั้งโลกไปสู่โศกนาฏกรรมแห่งหายนะนิวเคลียร์เอาเลยถึงขั้นนั้น...
คือโดยสรุปรวมความแล้ว...มันก็น่าจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่าไว้ในข้อเขียน บทความ ในแต่ละเรื่อง แต่ละราว นั่นแหละ ไม่ว่าจะเรียกว่า...ความโง่-ความกลัว-ความผิดพลาดล้มเหลว ไปจนถึงความเว่อร์ ฯลฯ ใดๆ ก็แล้วแต่ ที่แม้กระทั่งผู้นำประเทศอภิมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา หรือคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ท่านเคยแสดงให้เห็นถึงผิดพลาดครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ต่อการออกมาทำนาย-ทายทัก ถึงความเป็นไปในอนาคตของประเทศรัสเซีย ว่าอาจถึงขั้น “เงินรูเบิล” มีค่าแค่เศษกระดาษ เศษอิฐ เศษปูน ภายในอีกแค่ไม่กี่วัน-กี่เดือน หลังจากที่รัสเซียได้ตัดสินใจบุกยูเครน “ระบอบปกครองปูติน” จะล่มสลายเพราะถูกต่อต้าน โค่นล้ม จนไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปได้อีก ไม่ก็ต้องพังพินาศไปทั้งประเทศไม่น้อยไปกว่าการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต ฯลฯ อะไรทำนองนั้น...
แต่ไปๆ-มาๆ...ปาเข้าไปกว่า 2 ปีเข้าไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณปู่ “โจ ซึมเซา”ท่านคาดเดาเอาไว้ กลับพลิกกลับตีลังกาชนิด “หน้ามือ...เป็น...หลังตีน” คือกลับเป็นประเทศอเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตกทั้งหลายนั่นเอง ที่ออกอาการ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” หรือ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” หนักยิ่งเข้าไปทุกที ขณะที่ศัตรู-คู่อาฆาตอย่างหมีขาวรัสเซีย กลับออกอาการแบบ “เบิร์ดๆ” หรือแบบ...สบายๆ ถูกใจก็คบกันไป เพราะฉันเป็นคนไม่สนอะไร ไม่เคยคิดกวนใจใคร สบายๆ ฯลฯ อะไรประมาณนั้น อันนี้นี่แหละ...ที่เลยยิ่งทำให้บรรดาผู้นำโลกตะวันตกผู้ก่อความ “ผิดพลาดอย่างมหันต์” ในตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยิ่งต้องสร้างความ “ผิดพลาดอย่างอภิมหามหันต์” หรือยิ่งต้องพยายามเพิ่มแรงกด แรงดัน เพื่อหวังให้รัสเซียพังพินาศ ฉิบหาย ไปตามความปรารถนาและต้องการของตัวเอง จนถึงขั้นไม่ใช่เป็นแค่การสู้รบ ปรบมือระหว่างคู่ขัดแย้งอย่าง “รัสเซีย-ยูเครน” อีกต่อไปแล้วเท่านั้น แต่กำลังจะกลายเป็นการต่อสู้โดยตรงระหว่าง “รัสเซีย-นาโต” อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...
ไม่ว่าจะเป็นการ “ซ้อมรบ” อย่างที่เรียกกันว่า “Steadfast Defender 2024” ตั้งแต่ปลายเดือนมกราฯ ไปจนถึงเดือนพฤษภาฯ ปีนี้ ที่ระดมทหารถึง 90,000 นายจาก 32 ประเทศ พร้อมด้วยรถถัง รถลำเลียง ยานยนต์หุ้มเกราะ เรือรบ เครื่องบินโจมตีมาอวดโชว์อยู่หน้าปากประตูบ้านรัสเซีย ชนิดที่เลขาธิการสภาความมั่นคงรัสเซีย “นายNikolay Patrushev” ถือเป็นความก้าวร้าวของโลกตะวันตกที่มุ่งก่อให้เกิดการยั่วยุและการเผชิญหน้ากับรัสเซียอย่างตรงไป-ตรงมา หรือความเพียรพยายามขยายขอบเขตอิทธิพลของนาโต ลึกเข้าไปในยุโรปยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดประเทศที่เคยพยายามรักษาความเป็นกลางไว้ได้นานถึง 200 ปีอย่างสวีเดน ก็เพิ่งตีฆ้องร้องป่าวแสดงความดีอก-ดีใจที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรพันธมิตรทางทหารรายนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสฯ (7 มี.ค.) ที่ผ่านมา ไปจนถึงประเทศฟินแลนด์ที่มีพรมแดนประชิดติดพันกับรัสเซียถึงกว่า 1,300 กิโลเมตร ยังถึงกับยอมละทิ้ง “ความเป็นเพื่อนบ้าน” กับรัสเซีย หันมาสู่ “ความเป็นศัตรู” กันแทนที่ โดยไม่เพียงแต่เข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกนาโตเมื่อช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว ยังได้เซ็นข้อตกลงทางทหารกับอเมริกาเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา อนุญาตให้กองทัพอเมริกันสามารถเข้าถึงสถานที่อำนวยความสะดวกทางทหาร 15 แห่งด้วยกัน หรือสามารถใช้เป็นที่สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้สู้กับรัสเซียได้ทุกเมื่อ ไปจนประธานาธิบดีคนใหม่ อย่าง “นายAlexander Stubb” ที่คิดจะสร้าง“หลักประกันสันติภาพ” ด้วยการเพรียกหา “อาวุธนิวเคลียร์” จากอเมริกา จนทำให้ประเทศตัวเองกลายเป็น “เป้าหมายอันชอบธรรม” ของการตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดนี้ไปโดยปริยาย ดังที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย “นางMaria Zakharova” อดไม่ได้ต้องออกมาอธิบายถึง “ธรรมชาติทางการทหาร” โดยไม่ว่าจะเข้าหูซ้ายแล้วทะลุไปทางหูขวา หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที...
ยิ่งประเทศเล็กๆ ในแถบทะเลบอลติกที่มีประชากรรวมกันแค่ประมาณ 6 ล้านคนเท่านั้นเอง มีจำนวนทหารประจำการเพียงแค่กระหยิบมือ หรือขี้ปะติ๋วเอามากๆ แต่ด้วยเหตุเพราะความเกลียด-ความกลัว หรือความเป็นโรค “Russophobia” ที่เคยมีมาแต่ครั้งอดีต ไม่ว่าจะเป็นลัตเวีย ลิทัวเนีย หรือเอสโตเนีย ต่างออกมากู่ก้องร้องตะโกนแสดงออกถึงความเป็น “ศัตรู” กับรัสเซียอย่างชนิด “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” เอาเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่การสนับสนุนคำพูด คำจา ของผู้นำฝรั่งเศสที่อยากจะให้ส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปรบกับรัสเซียในสมรภูมิยูเครน แต่ล่าสุด...รัฐมนตรีกลาโหมลิทัวเนีย “นายArvydas Anusauskas” ยังได้ออกมาป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน ในการอนุญาตให้กองทัพอเมริกันเข้ามาติดตั้งระบบขีปนาวุธแพทริออต (Patriot anti-air missile systems) ในประเทศตัวเอง ห่างไปจากดินแดน “Kaliningrad” อันเป็นคลังอาวุธของรัสเซียแค่ไม่กี่กิโลเมตร แถมยังส่งเครื่องบินลาดตระเวนเข้ามาบินว่อนอยู่เหนือน่านฟ้าลัตเวีย ลิทัวเนีย เอสโตเนีย สร้างความเปรี้ยวมือ-เปรี้ยวตีนให้กับหมีขาวรัสเซียอีกด้วยต่างหาก...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างรัสเซีย ที่มีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ถึง 5,889 หัวรบ มากกว่าเสียยิ่งกว่าคุณพ่ออเมริกาที่มีอยู่เพียง 5,244 หัวรบ ย่อมมิอาจเอามือซุกหีบ หรือเอานิวเคลียร์ซุกหีบได้อยู่แล้วแน่ๆ!!! แม้ว่าเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” จะเคยประกาศเอาไว้ว่ารัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้ก็ต่อเมื่อตัวเองหรือพันธมิตรตกเป็นฝ่ายถูกโจมตีก่อนด้วยอาวุธชนิดนี้แต่เพียงเท่านั้น (No-first-use of nuclear weapons) แต่ในเมื่อถูกกด ถูกบีบ ถูกยั่วยวนกวนส้นตีนชนิดครั้งแล้ว-ครั้งเล่า โฆษกเครมลินอย่าง “นายDmitry Peskov” จึงได้ออกมาอธิบาย ขยายความ เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (7 มี.ค.) ให้เป็นที่รับรู้-รับทราบ เข้าอก-เข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยการสรุปว่า...รัสเซียจะใช้อาวุธชนิดนี้ก็เพื่อปกป้องการดำรงอยู่ของประเทศรัสเซีย ไม่ให้ต้องล่มสลาย สูญหายไปจากแผนที่โลก หรือ “ถ้ามีอะไรที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของประเทศเรา การใช้อาวุธนิวเคลียร์ก็เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้” นั่นแล...
ความเป็นไปได้-ความเป็นไปไม่ได้ ที่สงครามโลกครั้งที่ 3 อาจต้องกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” จึงขึ้นอยู่กับบรรดาประเทศโลกตะวันตกทั้งหลายนั่นแหละเป็นสำคัญ ว่าจะหาทางแก้ไข “ความผิดพลาดอย่างมหันต์” ในตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาของความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย ด้วย “ความผิดพลาดอย่างอภิมหามหันต์” หรือไม่? อย่างไร? เท่านั้นเอง จะหาทางประนีประนอมยอมความ หาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างรัสเซีย กันในแบบไหน? ลักษณะไหน? เพราะอย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายWang Yi” ท่านได้ออกมาให้ความคิด-ความเห็น เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมานั่นแหละว่า สิ่งที่ท้าทายมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ไม่ใช่มหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน หรือรัสเซีย แต่อย่างใด??? แต่เป็น “ตัวตนของอเมริกา” เองนั่นแหละ ที่ไม่พร้อมยอมรับต่อการดำรงอยู่ของมหาอำนาจรายอื่นๆ อย่างเท่าเทียมกัน ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งหลายย่อมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน ความร่วมมือโดยสันติหรือความร่วมมือในแบบต่างๆ ชนะไปด้วยกันทุกฝ่าย (Win-Win Cooperation) ไม่งั้น...โลกทั้งโลกหรือทุกๆ ฝ่ายหนีไม่พ้นต้องถูกฉุดกระชากลากถูให้เข้าสู่หายนะนิวเคลียร์ ไม่วันใด-วันหนึ่งขึ้นมาจนได้!!!