หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
พรรคก้าวไกลกำลังอยู่ในขั้นตอนการถูกพิจารณายุบพรรคจากกกต. จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้แล้วว่า มีจุดมุ่งหมายที่จะเซาะก่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เจตนาแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่ายต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาสู่การติเตียนโดยไม่เคารพหลักการที่พระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ อันเป็นผลของคำวินิจฉัยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่
ข้อกล่าวหาของพรรคก้าวไกลและพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นข้อกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์มาก และหากมีพฤติกรรมดังเช่นที่ว่ามา ทุกองคาพยพของรัฐไทยจะต้องเร่งกันจัดการ ซึ่งกระบวนการถัดมาอยู่ภายใต้การพิจารณาของกกต. ซึ่งนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.บอกว่า การพิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกลยังไม่มีกรอบเวลา เพราะไม่ใช่กระบวนการคำร้องที่ต้องระบุเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำอยู่เสมอคือไม่ชักช้า
ก็น่าสนใจว่า กกต.จะใช้เวลาในคดีนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยออกมาอย่างชัดแจ้งแล้วนานแค่ไหน และจะตระหนักแค่ไหนว่า เป็นคดีที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของรัฐไทย และเป็นที่เคารพของปวงชนชาวไทย
แต่ถามว่าในทางการเมืองการยุบพรรคก้าวไกลจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไหม ก็คิดว่าคงไม่ได้ส่งผลมาก เพราะเมื่อยุบพรรคก้าวไกลไป คนกลุ่มนี้ซึ่งมีความคิดที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็สามารถตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เช่นเดียวกับการยุบพรรคอนาคตใหม่แล้วเปลี่ยนเป็นพรรคก้าวไกล เพียงแต่อาจทำให้คนที่มีบทบาทสำคัญต้องยุติบทบาททางการเมืองไป แต่คนเหล่านี้ยังมีอายุไม่เยอะพวกเขาสามารถรอคอยกลับมาใหม่ในวันข้างหน้า เช่นเดียวกับการตัดสิทธิ์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสนกนกกุล ซึ่งยังไม่เหลืออีกไม่กี่ปีก็กลับมาเล่นการเมืองได้
ดังนั้นมาตรการที่รัฐไทยใช้รับมือกับพวกที่ท้าทายต่อระบอบของรัฐนั้นจึงไม่ได้ผล แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้เป็นเครื่องมือเรียกร้องความเห็นใจในฐานะผู้ที่ถูกกระทำได้ และบิดเบือนว่าถูกปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ถึงกระนั้นการบังคับใช้กฎหมายก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
ต้องยอมรับว่าวันนี้บุคคลสำคัญของพรรคก้าวไกลและแนวร่วมสามารถเผยแพร่ความคิดที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปอยู่ในหมู่คนรุ่นใหม่ได้มาก และความคิดนี้ยังแพร่กระจายไปยังผู้ใหญ่หลายคนที่เห็นดีเห็นงามกับบุตรหลานของตัวเอง ดูได้จากผลการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลชนะมาเป็นอันดับ 1 และการออกมาเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของคนรุ่นใหม่จำนวนมากบนท้องถนนหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ รวมไปถึงความผิดตามคดี 112 ที่เกิดขึ้นจำนวนมากอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
ปิยบุตรนั้นบอกว่า การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทยจำเป็นต้องเกิดขึ้น ไม่มีทางหลีกหนีพ้น ไม่เกิดวันนี้ ก็ต้องเกิดวันหน้า สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่มีและใช้อำนาจรัฐ ดังนั้น สถาบันกษัตริย์จะดำรงอยู่ในสถานะใด มีพระราชอำนาจมาก มีพระราชอำนาจน้อย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์จะเป็นแบบใด ทั้งหมดนี้ ประชาชนมีส่วนในการกำหนด อยู่ที่ว่าประชาชนจะยอมให้สถาบันกษัตริย์มีสถานะ มีอำนาจ มีบทบาท มีงบประมาณ แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้? หรือประชาชนไม่ยอมอีกต่อไป?
ปิยบุตรแสดงความเห็นหลายครั้งว่า ไม่เห็นด้วยที่สถาบันกษัตริย์มีการสืบทอดทางสายโลหิต เขาบอกว่า ตำแหน่งประมุขของรัฐ มันเป็นเรื่องสาธารณะ แล้วทำไมโลกแบบใหม่ถึงยอมให้สถาบันกษัตริย์สืบทอดทางสายโลหิต ความจริงแล้วถ้าเราเอาความคิดของปิยบุตรมาประมวล เขาก็มีความคิดแบบสาธารณรัฐนั่นแหละ แต่เขาพยายามเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเพียงบันไดก้าวแรกไปสู่ความมุ่งหวังที่แท้จริงของเขานั่นเอง
ทุกวันนี้แนวร่วมของพรรคก้าวไกลยังกระจายตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยจำนวนมากในฐานะนักวิชาการที่หล่อหลอมความคิดของคนหนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในยุคแสวงหา และมีคนรุ่นใหม่ปีแล้วปีเล่าที่เดินเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัยทดแทนคนที่จบออกมาให้นักวิชาการเหล่านั้นกล่อมเกลาความคิดให้มีทัศนคติไปในทางเดียวกัน แน่นอนพวกเขาใช้สถานะในความเป็นนักวิชาการและข้ออ้างทางวิชาการเป็นเครื่องมือในการบดบังทัศนคติที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย
รัฐไทยยังปล่อยให้สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันของธนาธร ผลิตสื่อที่มีความคิดทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะหนังสือเรื่องขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี ที่ถูกเปิดโปงจากนักวิชาการอย่างศาสตราจารย์ดร.ไชยันต์ ไชยพร ว่า มีการแต่งเรื่องใส่ข้อมูลเท็จเพื่อบั่นทอนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนมาก แต่หนังสือที่มาจากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ก็ยังถูกวางจำหน่ายได้ และจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่เป็นต้นธารของวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ก็ยังเพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆแม้จะมีผลสอบออกมาแล้ว
คนที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นั้น พรรคก้าวไกลก็เข้าไปช่วยเหลืออุ้มชู ตั้งแต่การให้ประกันตัว และบิดเบือนว่ารัฐใช้มาตรา 112 ในการปิดกั้นการแสดงออกทางการเมือง ทั้งๆที่เป็นคนละเรื่องกัน เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วคนที่มีความผิดตามมาตรา 112 นั้นเป็นเพราะดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี และรัชทายาท ไม่ใช่เรื่องของเสรีภาพทางการเมือง
พวกนี้พยายามอ้างว่า รัฐใช้มาตรา 112 เล่นงานคนที่มีความเห็นต่างๆจำนวนมาก ทั้งที่จริงแล้วคดีมีจำนวนมากก็เพราะมีผู้ออกมาละเมิดกฎหมายจำนวนมากนั่นเอง ถ้าเราไปดูการพิจารณาคดีมาตรา 112 จะเห็นได้ว่า ศาลมีการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมมีหลายคดียกฟ้อง และรอลงอาญา และในปัจจุบันทุกคดีศาลชั้นต้นจะให้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่กระทำความผิดซ้ำอีก และแม้ว่าจะมีบทบัญญัติโทษ 3-15 ปี แต่ที่ผ่านมาศาลจะใช้โทษขั้นต่ำคือ 3 ปี แต่ที่บางคนถูกตัดสินความผิดหลายปีเพราะกระทำความผิดในหลายกรรม
ต้องยอมรับว่า คนที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 การเคลื่อนไหวบนท้องถนนเพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และการแสดงออกอย่างเปิดเผยของพรรคก้าวไกลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งในนามพรรคและสมาชิกนั้นเป็นกระบวนการเดียวกันสอดคล้องกันดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้ว และเป็นการท้าทายต่อระบอบและรูปแบบของรัฐอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะกล่าวมาแล้วข้างต้นว่า การยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคอาจจะไม่ใช่ทางออกที่จะรับมือกับการขยายความคิดในหมู่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเพื่อให้มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ถึงกระนั้นรัฐไทยก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดรวดเร็วเพื่อปกป้ององค์ประกอบของรัฐเอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่า กกต.จะใช้เวลาอีกแค่ไหนในการพิจารณาคดีนี้ แต่ต้องตระหนักว่านี่เป็นความรับผิดชอบที่สำคัญของกกต.ในการปกป้องระบอบของรัฐเอาไว้ในฐานะองคาพยพหนึ่งของรัฐ
แต่แม้ความคิดของฝ่ายเรียกร้องรูปแบบการปกครองอื่นจะเกิดขึ้นไม่ง่าย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงก็รอคอยความหวังว่า สักวันข้างหน้าคนส่วนใหญ่จะยอมรับความคิดของพวกเขา ถ้าหากสามารถยึดครองและปลูกฝังความคิดคนรุ่นใหม่รุ่นแล้วรุ่นเล่าให้มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจึงมั่นใจว่า วันเวลาข้างหน้าเป็นของพวกเขา
ขณะเดียวกันองค์ประกอบของรัฐปัจจุบันก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นที่เคารพสักการะของคนส่วนใหญ่ ทำให้คนส่วนใหญ่มองเห็นว่า บ้านเมืองของเราที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์มายาวนานนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร เราจะฝากความหวังของประเทศนี้ไว้ในมือของ”นักการเมือง”อย่างที่เขาคาดหวังเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐ หรือเราจะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่งในยามบ้านเมืองมีวิกฤตและความขัดแย้งอย่างที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาคม 2535
เราอาจจะเปลี่ยนใจคนรุ่นใหม่ที่ถูกฝังให้มีความคิดเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้โดยเร็ววัน แต่เราต้องตั้งมั่นอยู่ในความถูกต้องชอบธรรมเพื่อให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าระบอบของรัฐที่เป็นอยู่นี้ต่างหากที่ทำให้ชาติไทยยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ใช่การเปลี่ยนระบอบแล้วเอาอนาคตไปฝากไว้ในมือนักการเมือง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan