เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองไป “ชั่งน้ำหนัก” บรรยากาศการเผชิญหน้าระหว่างพวก “โลกตะวันตก” กับ “หมีขาวรัสเซีย” ว่าสุดท้ายแล้ว...มันจะหนักหน่วง-รุนแรงไปถึงขั้นไหน??? ถึงขั้นจุดไฟนรกสุดขอบฟ้าด้วยสงครามโดยตรงระหว่าง “NATO-รัสเซีย” ไม่ใช่แค่ “ยูเครน-รัสเซีย” หรือไม่? อย่างไร? เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยลักษณะอาการของบรรดาชาติตะวันตกมันออกจะสับสน-อลหม่านอยู่พอสมควร คือออกไปทาง “พวกเราบุก...บุก-ไม่บุก...ไม่บุกก็อย่าบุก!!!” อะไรประมาณนั้น หรือออกไปทางกลัวๆ-กล้าๆ จนยากที่จะสรุปว่า...สุดท้ายแล้วจะเจ๊ง-ไม่เจ๊ง ฉิบหาย-ไม่ฉิบหาย กันไปถึงขั้นไหน???
เพราะถ้าดูจากอากัปกิริยาของผู้นำประเภท “หิวแสง” อย่าง “มาครง คนหนุ่ม” หรือประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” แห่งประเทศฝรั่งเศส ต้องเรียกว่า...ใกล้ลงมือ-ลงตีนกันเต็มทีแล้ว!!! โดยเฉพาะถ้าบรรดาชาติยุโรป หรือชาติพันธมิตร “NATO” ตัดสินใจที่จะส่งทหารภาคพื้นดิน บุกเข้าสู่สมรภูมิยูเครน ด้วยเหตุเพราะ “แพ้...รัสเซียไม่ได้” อย่างที่ประธานาธิบดีผู้นี้ได้ออกมาเปรยๆ ถึงการหารือระหว่างบรรดาผู้นำยุโรป ที่ยังไม่เป็น “เอกฉันท์” ชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างหมีขาวรัสเซีย เขาคงไม่อาจ “เอามือซุกหีบ” ได้อีกต่อไปแน่ๆ บรรดาอะไรก็ตามที่เหลือๆ ติดประเทศคงต้องถูกนำมาแปรสภาพเป็น “อาวุธ” ในการตอบโต้ต่อพวกโลกตะวันตกทั้งแผง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
แต่ก็นั่นแหละ...โดยคำพูด คำจา ของผู้นำฝรั่งเศสรายนี้ ก็เล่นเอาบรรดาชาติยุโรปจำนวนไม่น้อย เกิดอาการ “วงแตก” หรือต้อง “แยกวง” ถอยไปยืนอยู่ห่างๆ กันเป็นประเทศๆ ไม่ว่าอังกฤษ เยอรมนี สเปน อิตาลี ไปจนสาธารณรัฐเช็ก ฯลฯ ก็ตาม เหลือแต่ประเทศเล็กๆ อย่างเช่นเอสโตเนีย ซึ่งมีกำลังทหารประจำการอยู่แค่หยิบมือ (4,200 นาย) ที่นายกรัฐมนตรีหญิง “นางKaja Kallas” ออกมาเชียร์ ออกมากู่ก้องร้องตะโกนจนคอโป่ง เส้นเอ็นโป่ง ว่า “ไม่กลัวรัสเซีย” และควรที่จะนำเอาข้อเสนอของผู้นำฝรั่งเศสมาเพ่งพินิจพิจารณา หรือ “เขา(รัสเซีย)ต้องการให้เรากลัว และทางเดียวที่เราควรแสดงให้เห็นก็คือเราไม่กลัว...และต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง” หรือรัฐมนตรีต่างประเทศลิทัวเนีย “นายGabrielius Landsbergis” ที่หันมาเชียร์ให้ใครต่อใครต้อง “คิดนอกกรอบ” อย่างผู้นำฝรั่งเศสเอาไว้มั่ง...
อย่างไรก็ตาม...แม้บรรดาผู้นำชาติยุโรปโดยส่วนใหญ่ จะออกมาปฏิเสธถึงการคิดส่งทหารของตัวเองเข้าไปสู้กับรัสเซียในสมรภูมิยูเครน หรือการคิดจะสู้กับรัสเซียโดยตรง แต่โดยกิริยาอาการของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในแต่ละราย ต่างหนักไปทาง กระเหี้ยนกระหือรือ มองโลกในแง่ร้าย หรือออกไปทาง “บ้าสงคราม-กระหายสงคราม” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี “นายBoris Pistorius” ที่เคยออกมาคาดเดาเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า “รัสเซีย...จะบุก NATO” ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือที่สำนักข่าว “Bild” ของเยอรมนี เพิ่งนำเอาข่าวล่า-มาเรือมาเปิดเผยเมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (28 ก.พ.) ว่าฝ่ายความมั่นคงของเยอรมนีถึงขั้นส่งเอกสารรายงานต่อรัฐสภาให้เตรียมตัวรับมือกับ “Russian are coming” ไม่ว่าด้วยการสู้รบในสงครามไซเบอร์ การบุกทางอากาศ ทะเล และภาคพื้นดิน ชนิดเล่นเอาบรรดา “ไส้กรอกเยอรมัน” ต้องเกิดอาการทั้งหด ทั้งเหี่ยว ไปตามๆ กัน...
หรือรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ “นายGrant Shapps” ที่ออกมาฟันธง-ฟันเฟิร์มไว้ล่วงหน้า ว่าโอกาสที่โลกตะวันตกจะต้องสู้กับรัสเซีย-จีน-อิหร่าน-เกาหลีเหนือ จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ภายในอีก 5 ปีนับจากนี้ หรือรัฐมนตรีต่างประเทศสวีเดนที่เพิ่งเข้าเป็นสมาชิก NATO รายล่าสุด “นายTobias Billstrom” ที่ออกมาเรียกร้องให้เพื่อนร่วมชาติเตรียมตัวรับมือกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่าง “รัสเซียกับ NATO” ไปจนกระทั่งรายล่าสุดอย่างรัฐมนตรีกลาโหมผิวสีอเมริกัน “พลเอกLloyd Austin” ที่หอบมะเร็งออกมาให้การกับคณะกรรมการด้านอาวุธของสภาผู้แทนราษฏรอเมริกา (House Armed Service Committee hearing) ว่าถ้าหากยูเครนเกิดแพ้รัสเซีย โอกาสที่ NATO จะต้องสู้กับรัสเซียโดยตรงเป็นรายต่อไป ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือเป็นสิ่งที่ “ผมเชื่อ...โดยบริสุทธิ์ใจ” นั่นยังไม่รวมไปถึงตัวแทนถาวรของประเทศอิสราเอล พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่ออเมริกา “นายGilad Erdan” ที่ลุกขึ้นมา “กล่าวหา” รัสเซีย ในเวทีประชุมทั่วไปสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก เมื่อวันจันทร์ (26 ก.พ.) ที่ผ่านมา ว่ารัสเซียได้ “เลือกข้าง” ที่จะเป็นศัตรูกับ “โลกเสรี” ด้วยการหยิบเอาสงครามยูเครน กับสงครามฮามาส-อิสราเอลไปผสมกลมกลืน จนกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันจนได้!!!
แต่สำหรับผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” แล้ว...ตามคำพูด คำจา ที่ปรากฏอยู่ในสุนทรพจน์ประจำปี ณ ที่ประชุมสมาชิกรัฐสภา หรือที่เรียกว่า “State of the Nation” พอๆ กับ “State of the Union” ของคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ คือถือเป็นการอรรถาธิบายถึงเข็มมุ่งและนโยบายต่อปัจจุบันและอนาคตของประเทศให้เป็นที่รับรู้ รับทราบ กันโดยทั่วไป เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (29 ก.พ.) ผู้นำรายนี้ท่านพูดเอาไว้ชัด ดังข้อความที่ว่า... “พวกโลกตะวันตกพยายามปลุกกระตุ้นความขัดแย้ง ไม่ว่าในยูเครน ตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ ของโลก โดยมุ่งที่จะ...โกหก...อย่างต่อเนื่อง บัดนี้ภายใต้ความไร้ยางอาย พวกเขาพยายามป่าวประกาศข้อกล่าวหาว่าเราต้องการที่จะบุกยุโรป อันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี แต่อเมริกาและบรรดาบริวารของเขา ก็ยังคงพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรื้อระบบความมั่นคงปลอดภัยของยุโรป รวมทั้งทำให้โลกหวาดกลัวต่อภัยคุกคามจากความขัดแย้งนิวเคลียร์ อันจะส่งผลให้เกิดการสิ้นสุด ยุติ ของอารยธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ”...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ผู้นำรัสเซียท่านยังคงยืนยัน นั่งยัน ตีลังกายัน ว่าท่านไม่ได้สนใจที่คิดบุกยุโรป ไม่ว่าในแง่ภูมิรัฐศาสตร์หรือในทางเศรษฐกิจ-การเมืองก็ตามที แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ แห่งประเทศไทยของหมู่เฮา ท่านเคยทรงเอ่ยเป็นวาทะไว้ตั้งแต่อดีตประมาณว่า “ด้วยหวังตั้งสงบ...จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” ในสุนทรพจน์ประจำปีของผู้นำรัสเซียรายนี้ จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะเอ่ยถึง “อาวุธร้ายๆ...ที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน” ที่อดีตผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” เคยเอ่ยปากไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้ ไม่ว่าจะเป็นจรวด “Kinzhal hypersonic air-launch ballistic missile” หรือ “Zircon sea-launched hypersonic cruise missiles” หรือ “Avangard international hypersonic system” ไปจนถึงโดรนใต้น้ำอย่าง “Poseidon” หรืออาวุธเลเซอร์ “Peresvet” ฯลฯ ที่ต่างถูกบรรจุเข้าประจำการในกองทัพรัสเซียเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้วยิ่งไปกว่านั้น...ยังรวมไปถึงการเตรียมพร้อมแบบเต็มกำลัง (Full readiness) ของกองกำลังนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์รัสเซีย ภายใต้บรรยากาศแห่งการเผชิญหน้า ที่คุณพ่ออเมริกาและพวกพรมเช็ดเท้าพยายามปลุก พยายามกระตุ้น อยู่ในทุกวันนี้...
แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้รัสเซียจะเป็นชาตินิวเคลียร์ ที่ยังไม่ได้คิดลงนามในข้อผูกพันเรื่องการเป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธชนิดนี้ก่อน หรือที่เรียกว่า “No-First-use of Nuclear weapon” เช่นเดียวกับคุณพ่ออเมริกา แต่การออกมาประกาศ “จุดยืน” ในเรื่องนี้ดังที่อธิบดีกรมควบคุมอาวุธของจีน “นายSun Xiaobo” ออกมาเรียกร้องเมื่อวัน-สองวันมานี้ก็ต้องถือเป็นการตอบสนองต่อความปรารถนา-ต้องการ ของชาติที่ให้ความสำคัญกับ “สันติภาพ” มากกว่า “สงคราม” เช่นเดียวกับจีนและอินเดียนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ในสุนทรพจน์ประจำปีดังกล่าว ซึ่งกินเวลาถึง 2 ชั่วโมงกับอีก 6 นาที โดยส่วนใหญ่แล้ว...ออกจะหนักไปทางการเน้นย้ำถึงการปรับปรุง ยกระดับ พัฒนาประเทศรัสเซีย ไม่ว่าในทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม หรือลึกไปถึงระบบครอบครัว ฯลฯ นั่นแหละเป็นสำคัญ ด้วยบรรดาโครงการสำคัญต่างๆ ไม่ว่า “The Long and Active Life” เพื่อสร้างความหวังให้กับวิถีชีวิตของชาวรัสเซียไม่ว่าในด้านการกีฬา สุขภาพอนามัย โครงการ “The Maternity capital program 2023” ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นแม่ กับระบบครอบครัว ให้แข็งแกร่ง แข็งแรง ไม่ฟอนเฟะ แหลกเหลว เหมือนอย่างโลกตะวันตก หรือโครงการ “Clean Water Project” เพื่อส่งเสริมน้ำสะอาดที่ปราศจากมลพิษในชั้นบรรยากาศ ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ เป็นต้น...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ถ้าหากคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก เลิกคิดที่จะทำให้รัสเซียต้องพึ่งพาตะวันตก ไม่ก็ต้องล้มหายตายจาก ต้องตายซาก หรือ “ต้องกลายเป็นอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ” ดังที่ผู้นำรายนี้กล่าวไว้ในสุนทรพจน์คราวนี้ ยอมปล่อยให้ประเทศรัสเซียสามารถดำรงรักษาประวัติศาสตร์และคุณค่าแห่งวัฒนธรรม-ประเพณี ปกป้องเสรีภาพและพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยของตัวเอง รวมทั้งอธิปไตยของชาติโดยไม่อนุญาตให้ใครเข้าแทรกแซงกิจการภายใน อันเป็นสิ่งที่บรรดาชาติต่างๆ ทั่วทั้งโลกต่างปรารถนาและต้องการไปด้วยกันทั้งสิ้น โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปโดย “สันติภาพ” หรือโอกาสที่จะ “อยู่ร่วมโลกโดยสันติ” ย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหาก “โรคกลัวรัสเซีย” (Russophobia) ที่ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านอธิบายไว้ว่า ไม่ต่างไปจากแนวคิดในเรื่องการเหยียดผิว-เหยียดเชื้อชาติ อันเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องความสูงสุดแห่งเชื้อชาติของตนและการกีดกันผู้อื่น ด้วยความมืดบอดและปราศจากเหตุผลใดๆ รองรับไว้เลยแม้แต่น้อย มันยังแพร่ระบาดอยู่ในโลกตะวันตกยิ่งกว่า “Covid-19” หลายต่อหลายเท่า อเมริกาและพวกโลกตะวันตกทั้งหลายนั่นเอง ก็คือผู้ที่กำลังสร้าง “ความเสี่ยง” ให้กับโลกทั้งโลกและมวลมนุษยชาติทั้งผอง จนอาจต้องเจอกับ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!