หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
สังคมไทยกำลังกล่าวขานกันว่า “ระบอบทักษิณ” กำลังจะกลับมา นั่นคืออำนาจทุกอย่างรวมศูนย์ที่ทักษิณ และเขาสามารถควบคุมกลไกต่างๆเอาไว้ได้หมด แต่ถ้าดูความเป็นจริงสถานการณ์ตอนนี้แตกต่างกับตอนที่ระบอบทักษิณเฟื่องฟูมาก เพราะตอนนั้นทักษิณครอบครองเสียงข้างมากในสภาด้วยพรรคเดียว สามารถควบคุมเสียงของส.ว.และองค์กรอิสระได้ด้วย
ตอนนี้เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค แม้จะมีเสียงข้างมากถึง 314 เสียง แต่พรรคของทักษิณเพียงแต่มีเสียงมากที่สุดในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล การเป็นรัฐบาลผสมจึงต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยไม่สามารถสั่งการแบบรวมศูนย์ที่เป็นลักษณะของระบอบทักษิณได้ เพียงแต่ด้วยพันธสัญญาของ “ดีล” และสถานการณ์การเมืองทำให้พรรคทุกพรรคต้องรวมตัวกันเพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล
คนส่วนใหญ่เชื่อว่า การกลับมาของทักษิณนั้นเป็น “ดีล”แน่ๆ การช่วยกันสกัดกั้นพรรคก้าวไกลไม่ให้เป็นรัฐบาลนั้นเป็นส่วนหนึ่งของดีล แต่ก็มีคำถามว่าพรรคเพื่อไทยของทักษิณที่เป็นขาลงกับพรรคก้าวไกลที่เป็นขาขึ้นนั้นจะสามารถต้านทานรับมือกันได้จริงๆ หรือ
แม้ในอนาคตข้างหน้าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก็ยากแล้วที่พรรคเพื่อไทยของทักษิณจะกลับไปยิ่งใหญ่เหมือนเดิมคือโอกาสได้เสียงเกินครึ่งในสภาด้วยพรรคเดียวเหมือนในอดีตนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว แต่สถานการณ์ก็ต้องทำให้พรรคขั้วรัฐบาลในเวลานี้จับมือกันตลอดไป เพื่อไม่ให้พรรคก้าวไกลเข้ามาถือครองอำนาจรัฐเพราะเป็นพรรคที่ถูกชี้ชัดแล้วว่าต้องเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งหมายถึงการท้าทายต่อการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง
ถ้าพรรคการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้สามารถรักษาสมดุลนี่เอาไว้ได้ตลอดไป กาลเวลาข้างหน้าที่เชื่อกันว่าเป็นของพรรคก้าวไกลก็อาจจะไม่มาถึงในเร็ววันหรือไม่สุดท้ายก็อาจจะฝ่อล่มสลายไปเอง เพียงแต่พรรคเพื่อไทยรักษาฐานมวลชนส่วนหนึ่งเอาไว้ไม่ให้พรรคก้าวไกลแย่งชิงไปมากกว่านี้ และพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมสามารถรักษามวลชนของตัวเองเอาไว้ ก็น่าจะต้านทานพรรคก้าวไกลไม่ให้ได้เสียงเกินครึ่งได้
เพราะต้องยอมรับความจริงว่าโอกาสเดียวที่พรรคก้าวไกลจะได้เป็นรัฐบาลก็คือต้องชนะได้เสียงข้างมากเกินครึ่งด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก และถึงแม้ว่าอาจจะเกิดขึ้นสักวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ก็ไม่รู้ว่า พรรคก้าวไกลจะได้ครองอำนาจรัฐได้แม้จะได้ชัยชนะเกินครึ่งก็ตาม เพราะฝ่ายที่ดูแลความมั่นคงก็ย่อมจะมีความชอบธรรมที่จะล้มกระดานหากเห็นว่านั่นเป็นภัยต่อระบอบและรูปแบบของรัฐ รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
ถ้าดูเสียงตอนนี้ต้องยอมรับว่า เสียงของฐานความคิดที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตยนั้น มีมากกว่าฐานความคิดของฝ่ายอนุรักษนิยม เพียงแต่ว่า ฝ่ายประชาธิปไตยนั้นถูกแย่งชิงกันระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ซึ่งแม้พรรคเพื่อไทยจะสามารถรักษาความเหนียวแน่นของมวลชนด้วยการพึ่งพิงส.ส.บ้านใหญ่เอาไว้ได้ แต่ก็มองเห็นสัญญาณว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยอาจจะถูกพรรคก้าวไกลช่วงชิงไปมากขึ้น เมื่อมวลชนส่วนหนึ่งอาจจะมองว่า พรรคเพื่อไทยแปลงสภาพเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายอนุรักษนิยมไปแล้ว
อย่าลืมว่าฐานเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นคนชั้นล่างหรือที่เรียกว่าคนรากหญ้า คนชนชั้นนี้มองเห็นถึงความไม่เท่าเทียมของสังคมและอยู่ห่างจากความเป็นชนชั้นอภิสิทธิชนในสังคมอยู่แล้ว ชนชั้นล่างมีความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตวาสนาของตัวเองและมองว่าถูกเอาเปรียบจากชนชั้นนำในสังคมอยู่แล้ว เมื่อพรรคก้าวไกลหยิบยกเอาจุดนี้มาเป็นจุดขายก็อาจจะทำให้คนชนชั้นเหล่านี้หลงไหลไปสมาทานความคิดกับพรรคก้าวไกลได้ง่ายเมื่อพวกเขาหยิบยกเอาความเป็นชนชั้นและความไม่เท่าเทียมของสังคมมาบดขยี้
เชื่อว่าในขณะนี้ชนชั้นนำของสังคมที่ต้องดูแลและพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยังไม่รู้หรอกว่าจะต้านทานพรรคก้าวไกลได้อย่างไรนอกจากพึ่งพาอำนาจของทักษิณที่ยังพอมัดใจคนชั้นล่างเอาไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่คงจะยังมองไม่ออกว่า จะตั้งรับมือกับพรรคก้าวไกลอย่างไรในระยะยาว นอกจากซื้อเวลาไปเรื่อยๆ
ความจำเป็นต้องพึ่งพิงอำนาจของทักษิณเฉพาะหน้าก็คือ การผูกใจไม่ให้พรรคของทักษิณไปจับมือกับพรรคก้าวไกลเพื่อจัดตั้งรัฐบาล สิ่งเหล่านี้อาจเป็นผลของการที่ซื้อใจทักษิณโดยที่เขาไม่ต้องติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว แม้ว่าจะได้รับพระราชทานอภัยลงโทษจาก 8 ปีเหลือเพียง 1 ปีก็ตาม แต่ก็มีคำถามว่า มันจะคุ้มค่ากับการทำลายกระบวนการยุติธรรมเพื่อทักษิณหรือไม่ เมื่อจุดขายของพรรคก้าวไกลก็คือความเท่าเทียมกัน ที่ชู “คนเท่ากัน” ที่ต้องการทลายความเป็นชนชั้นและอภิสิทธิชนในสังคม การตอกย้ำความเป็นอภิสิทธิชนของทักษิณจะยิ่งทำให้มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยไหลไปยืนข้างพรรคก้าวไกลมากขึ้นไหม
หรือถามว่า จริงๆ แล้วทักษิณมีความจริงใจมากแค่ไหน ถ้าเราย้อนไปดูท่าทีของทักษิณในตอนที่มีอำนาจ วาทะ “ถ้ามากระซิบข้างหู...”ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจในอำนาจของตัวเองตอนนั้น ตอนนี้ทักษิณอาจต้องเล่นบทบาทไปตามดีลเพียงเพื่อที่จะเอาตัวเองกลับมาบ้าน ซึ่งรู้ว่าจะต้องพึ่งพาสิ่งไหน และขณะเดียวกันยังมีความจำเป็นต้องพาน้องสาวคือยิ่งลักษณ์กลับมาบ้านอีกคน นี่จึงเป็นบทบาทที่เขาเพียงจะต้องเล่นไปตามเกมเท่านั้น แต่เมื่อเขาบรรลุเป้าหมายแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นไม่มีใครรู้ ที่สำคัญเราไม่รู้ว่า “ดีลที่ฮ่องกง” ของทักษิณ กับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจนั้นมีความมุ่งหมายอย่างไร
คงต้องจับตาบทบาทของทักษิณหลังจากนี้ แม้ตอนนี้เขาจะยังติดเงื่อนไขของกรมคุมประพฤติ 5 ห้าม 5 ให้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ตอนนี้ดูเหมือนทักษิณอาจจะต้องรักษาภาพของคนป่วยเอาไว้สักระยะเพื่อให้เนียนกับการที่ต้องนอนโรงพยาบาลไม่ต้องเข้าคุก แต่เมื่อพ้น 6 เดือนไปแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ และเชื่อว่าวันนั้นทักษิณจะหายป่วยพอดี
แม้ว่าเศรษฐา ทวีสิน จะมีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เชื่อว่า บทบาทของเขาหลังจากนี้ก็จะมีเพียงงานพิธีการเท่านั้น หรือไม่ก็เดินสายไปต่างจังหวัด ไปประชุมในต่างประเทศ แต่อำนาจสั่งการก็จะต้องฟังจากบ้านจันทร์ส่องหล้า เพราะทักษิณมีเดิมพันคือ ทำให้ลูกสาวของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และเอาน้องสาวคือยิ่งลักษณ์กลับบ้าน แต่เศรษฐาไม่ได้มีพันธะอะไรนอกจากเป็นหุ่นเชิดนายกรัฐมนตรีเท่านั้น และไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะศักยภาพของตัวเอง
เราน่าจะเห็นการเข้ามาจัดการในรัฐบาลของทักษิณในเวลาอีกไม่นาน เมื่อเขาพ้นจากพันธะการคุมประพฤติเราก็น่าจะเห็นบทบาทของทักษิณชัดเจนขึ้น หรือวันหนึ่งถ้าเศรษฐาแข็งขืนและเชื่อมั่นในความเป็นนายกรัฐมนตรีของตัวเองขึ้นมา วันนั้นเศรษฐาก็จะรู้ว่าอำนาจที่แท้จริงของตัวเองมีเพียงไหน และใครคือผู้มีอำนาจที่แท้จริง
สถานการณ์ตอนนี้ถ้าว่าไปแล้วก็อาจจะมีผลดีอยู่บ้างที่พรรคก้าวไกลเองเริ่มกัดกร่อนตัวเองลงไปบ้าง เมื่อคนจำนวนมากเริ่มมองเห็นว่า พรรคก้าวไกลสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่ก้าวร้าวอย่างกลุ่มทะลุวัง และคนจำนวนมากเริ่มหวั่นไหวว่าความมุ่งหมายที่จะเซาะกร่อนบ่อนลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของพรรคก้าวไกลจะนำไปสู่หนทางที่ดีกว่าจริงๆ หรือ
หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เราสามารถฝากบ้านเมืองไว้กับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเห็นความสามารถในการทำงานที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาก่อนได้จริงหรือ หรือมีคนเริ่มตั้งคำถามว่าถ้าพรรคก้าวไกลสามารถไปสู่เป้าหมายและอุดมการณ์ของพวกเขาได้ บ้านเมืองของเราจะดีขึ้นจริงๆหรือ ถ้าไม่มีสัญลักษณ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุกคน
แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่าการต้องพึ่งพาทักษิณและแลกกันด้วยการทำลายกระบวนการยุติธรรม และแสดงให้เห็นถึงความเป็นอภิสิทธิชนและความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคมจากกรณีของทักษิณนั้นมันจะยิ่งเป็นตัวหนุนให้พรรคก้าวไกลมีความชอบธรรมมากขึ้นในการต่อสู้และเรียกร้องตามอุดมการณ์ที่ท้าทายของพวกเขาไหม และยิ่งทำให้สถาบันหลักของสังคมไทยถอยห่างจากคนรุ่นใหม่มากขึ้นไปอีกไหม
แล้วประเทศชาติที่ฝากไว้ภายใต้รัฐบาลที่อยู่ในอุ้งมือของทักษิณ จะรับมือกับการเซาะกร่อนบ่อนทำลายของพรรคก้าวไกลที่มีคนรุ่นใหม่และวันเวลาเป็นเครื่องมือได้จริงๆ หรือ
ติดตามผู้เขียนได้ที่