เผอิญว่าปลายสัปดาห์ที่แล้ว...วันเสาร์ที่ 24 ก.พ. ถือเป็นวันครบรอบ 2 ปีของสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตไปใคร่ครวญ ทบทวน ถึงความเป็นมา-เป็นไปของ “แนวรบยุโรปตะวันออก” กันอีกสักเที่ยว เผื่อว่าอาจพอได้ข้อคิด สะกิดใจ หรืออาจพอได้เห็นร่องรอยแห่งอนาคต รวมทั้ง “ชะตากรรม” ของโลกทั้งโลกที่ต่างก็เคยตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของ “โลกตะวันตก” มาโดยตลอด...
อีกทั้งเมื่อช่วงวัน-สองวันก่อน หรือช่วงวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปอ่านข้อเขียน บทความ หรือ “บทบรรณาธิการ” ของสื่อทางการจีนอย่าง “Global Times” ที่เขาหยิบเอาเรื่องราวเหล่านี้ไปวิเคราะห์ สังเคราะห์ ได้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ ดังสรุปไว้ในชื่อเรื่องว่า “2-year mark of Russia-Ukraine conflict : Tragedy could have been avoided” หรือประมาณว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้ว!!!บรรดาความขัดแย้งที่ดำเนิน สืบเนื่องมานานถึง 2 ปีเข้าไปแล้วของยูเครนและรัสเซียมันน่าที่จะมีโอกาสบรรเทา-เบาบาง หรือแม้แต่หลีกเลี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้น หรือขยายตัว ไปจนถึง “จุดระเบิด” ได้อีกเยอะแยะมากมาย...
แต่ก็ด้วยเหตุเพราะความ “เมามันซ์ซ์ซ์” ของมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพวกพันธมิตร “พรมเช็ดเท้า” ทั้งหลายในโลกตะวันตกที่ยังคงมัวเมาอยู่กับ “ชัยชนะ” ในช่วงยุคสงครามเย็นแบบชนิด “เมาไม่เลิก” นั่นเอง ไม่ได้คิดจะฟังคำเตือน ข้อชี้แนะ ชี้นำ ของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเป็นที่ยอมรับกันไปทั่วทั้งโลก เช่นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสมัยประธานาธิบดีนิกสัน “นายHenry Kissinger” ผู้ซึ่งวายชนม์ไปเมื่อไม่นานมานี้ หรือ “นายJohn Mearsheimer” นักวิทยาศาสตร์สังคมและนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ผู้ประดิษฐ์คิดค้นทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันโด่งดังที่เรียกๆ กันว่า “The Theory of Offensive Realism” เป็นต้น ซึ่งต่างชี้ให้เห็นถึง “อันตราย!!!” ของ “นโยบายขยายตัว” (Enlargement) โดยอเมริกาและองค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” ที่เพียรพยายามแผ่อำนาจ อิทธิพลเข้าไปถึง “ปากประตูบ้าน” ของรัสเซีย...
อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “จุดสมดุล” แห่งโครงสร้างความมั่นคงของยุโรปหลังยุคสงครามเย็น มีอันต้อง “พังทลาย” ลงไปอย่างน่าเสียดาย หรือกลายเป็นตัวสร้างแรงกดดันให้กับรัสเซียที่ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยของตัวเอง อันนำไปสู่สงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนจนได้ และบรรดาความขัดแย้งที่ดำเนินต่อเนื่องมาถึง 2 ปีเต็มๆ เข้าไปแล้ว จึงกลายเป็นตัวสร้างความสูญเสียให้กับทุกฝ่าย หรือไม่มีฝ่ายใดที่เป็น “ฝ่ายชนะ” ได้โดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะฝ่ายคุณพ่ออเมริกาและตะวันตก ที่เพียรพยายามกดดันรัสเซียด้วยการ “แซงชั่น” อย่างชนิดเอาเป็น-เอาตาย อย่างหน้ามืด ตามัว แต่ถ้าว่ากันโดยตัวเลข สถิติ ที่ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เฉพาะแค่ประเทศ “เสาหลักเศรษฐกิจ” ของยุโรปอย่างเยอรมนี ต้องเจอความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นตัวเงิน เม็ดเงิน ไม่น้อยไปกว่า 200,000 ล้านยูโร หรือ 216,000 ล้านดอลลาร์ไปแล้วถึงขั้นนั้น!!!
โดยตัวเลขที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากการเสกสรร ปั้นแต่ง ขึ้นมาเอง...เพราะกระทั่งประธานสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเยอรมนี (The German Institute for Economic Research) “นายMarcel Fratzscher” ยังได้ออกมายืนยัน นั่งยัน ถึงตัวเลขความสูญเสียดังกล่าว กับสำนักข่าว “Die Rheinische Post” ไปเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ส่งผลให้ประเทศเสาหลักเศรษฐกิจแห่งยุโรป ต้องพังพินาศ ถดถอย ชนิดไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น กลายเป็น “คนป่วยแห่งยุโรป” ไปอีกตราบนานเท่านาน ไม่ต่างไปจากประเทศยุโรปรายอื่นๆ ไม่ว่าฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ฯลฯ เลยไปถึงคุณพ่ออเมริกาโน่นเลย ที่ต่างพิกล พิการ หรือหนักถึงขั้นบรรดาผู้คนในประเทศต้อง “อดมื้อ-กินมื้อ” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ผู้คนในสังคมตะวันตกทั่วทั้งมวล ต่างออกอาการ “เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า” กับความขัดแย้งดังกล่าวเต็มทีหรือแบบที่เรียกว่า “Ukraine fatigue” อะไรประมาณนั้น โดยเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาได้อีก เพราะโดยผลสำรวจความคิด ความเห็น ของผู้คนในประเทศยุโรปถึง 20 ประเทศ โดยสถาบัน “The Global Times Research Institute” ของจีนเอง เขาได้ผลสรุปเป็นที่ชัดเจนว่า “เสียงส่วนใหญ่” ของผู้คนแต่ละประเทศ ต่างเห็นพ้องต้องกันที่จะให้เกิดการแก้ปัญหาความขัดแย้ง “รัสเซีย-ยูเครน” โดยหนทาง “การเจรจา” มากกว่าที่จะรบราฆ่าฟันกันต่อไปอีกเป็นทศวรรษๆ หรือผู้คนไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ในเยอรมนี ฝรั่งเศส รวมไปถึงอเมริกา ฯลฯ อีกด้วย ต่างเห็นพ้องต้องกัน ไปในแนวนี้ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะแม้แต่การสำรวจความคิด ความเห็น โดยฝ่ายตะวันตก หรือโดย “The European Council on Foreign Relation” ในช่วงระยะใกล้ๆ กัน ก็ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกัน คือมีผู้คนถึง 37 เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อว่า สุดท้ายแล้ว...สงครามดังกล่าวต้องจบลงที่ “โต๊ะเจรจา” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย อีก 41 เปอร์เซ็นต์เห็นว่าบทบาท หน้าที่ของอเมริกาและยุโรป ก็คือต้องหาทางเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้ยูเครนเริ่มต้นเจรจากับรัสเซีย อย่างเป็นจริง-เป็นจังซะที!!!
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยความ “ลิเบอร่าน” หรือความเป็น “เสรีนิยมใหม่” ใดๆ ก็ตามที ที่ทำให้รัฐบาลตะวันตกจำนวนไม่น้อย ไม่ได้คิดจะให้ความสนใจต่อ “เสียงส่วนใหญ่” ภายในประเทศตัวเองมากมายสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะมีการเรียกร้อง การประท้วง การแสดงออกถึงความคิด ความเห็นที่สวนทางกับรัฐบาล หรือไม่ได้ให้ความสำคัญต่อ “อำนาจอธิปไตย” ของตัวเอง โดยหันไป “เดินตามก้น” สูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจจากคุณพ่ออเมริกากันเป็นหลักชนิดแม้กระทั่งคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายพอเริ่มๆ มองเห็นหนทางที่จะยุติความขัดแย้งได้บ้างแล้วใน “โต๊ะเจรจา” แต่ด้วยการ “แทรกแซง” ของอเมริกาและอังกฤษ ที่ส่งอดีตนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิงอย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” เข้าไปฉุดกระชากลากถูตัวแทนฝ่ายยูเครนให้ลุกออกมาจากโต๊ะเจรจา ขณะที่ทั้งสองฝ่ายใกล้บรรลุข้อตกลงขั้นพื้นฐานเป็นที่เรียบร้อยแล้วการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งยูเครน-รัสเซียเลยมีแต่ต้องสลับซับซ้อน ยืดเยื้อ เนิ่นนาน และคาราคาซังยิ่งขึ้นไปอีกชนิดอาจต้องรอจนกว่าบรรดารัฐบาลเสรีนิยมแต่ละรายในยุโรป จะถูก “กระแสลมเอียงขวาพลิกกลับ” กันไปเป็นประเทศๆ...
และแม้ว่าความยืดเยื้อ เนิ่นนาน คาราคาซังทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้...จะส่งผลกระทบต่อ “โลกทั้งโลก” ไม่ใช่แต่เฉพาะยุโรป อเมริกา หรือต่อ “แนวรบยุโรปตะวันออก” แต่เพียงแห่งเดียว จนบรรดาชาติต่างๆ ไม่ว่าแอฟริกา จีน ตุรเคีย ฯลฯ ต่างพยายามออกเรี่ยว ออกแรง อาสาเข้ามาเป็น “ตัวกลาง” เพื่อบรรเทาเบาบาง ปมประเด็นความขัดแย้งเหล่านี้ โดยล่าสุด...ผู้นำชาติแอฟริกา 7 ประเทศ อันประกอบไปด้วยอียิปต์ แอฟริกาใต้ สาธารณรัฐคองโก ยูกันดา เซเนกัล แซมเบีย และคอโมโรส ยังไม่หมดแรงฮึด เตรียมที่จะออกเดินสายเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ทั้งรัสเซียและยูเครนอีกรอบ แต่ก็อย่างว่า...ตราบใดที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ยังเมามันซ์ซ์ซ์ เมามาย เมาไม่เลิกกับการทำให้โลกทั้งโลกต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของ “โลกตะวันตก” แต่เพียงลูกเดียว หรือการเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” โอกาสที่ปมปัญหาความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย จะถูกคลี่คลาย หรือถูกบรรเทาเบาบางลงไปได้มั่ง ย่อมเป็นอะไรที่ยากเย็น แสนเข็ญ เต็มที...
เพราะที่หนักยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือความพยายามฉุดกระชากลากถู ให้โลกทั้งโลกเข้าไปพัวพัน ยุ่งเหยิงกับปมประเด็นความขัดแย้งดังกล่าว โดยไม่คิดหาทางออก-ทางไปใดๆเอาไว้เลย มีแต่มุ่งโหมฟืน โหมไฟ ให้หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าด้วยการปลุกกระตุ้นให้บรรดาชาติพันธมิตรในยุโรป เตรียมตัวทำสงครามกับรัสเซียในอีก 5-6 ปีข้างหน้า การสนับสนุนอาวุธร้ายแรง เช่นเครื่องบิน “F-16” ให้กับ “ตัวแทน” อย่างยูเครน เพื่อเอาไว้ใช้โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ชนิดที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” ต้องออกมา “เตือน” ว่าอาจนำไปสู่การลั่นไก “ความขัดแย้งนิวเคลียร์” ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกขึ้นมาเมื่อไหร่? ตอนไหน? ก็ยังไม่แน่!!! อันส่งผลให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ผู้คอยทำหน้าที่หมุนเข็มนาฬิกา “Doomsday Clock” ไปสู่วันสิ้นยุค สิ้นโลก ถึงกับต้องร่นช่วงระยะเวลาดังกล่าว เหลือเพียงแค่ 90 วินาทีนับจากนี้เท่านั้นเอง...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ด้วยความเมามันซ์ซ์ซ์ เมามาย เมาไม่เลิก ของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าในโลกตะวันตกนั่นเอง ที่กำลังทำให้โลกทั้งโลกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องถูกฉุดกระชากลากถูลงไปสู่หุบเหว สู่ประตูนรก ไม่วันใด-วันหนึ่งจนได้ ทั้งๆ ที่ชะตากรรมแห่งอนาคต อันจะนำพาโลกทั้งโลกไปสู่ “โศกนาฏกรรม” เหล่านี้ ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ยาก เพียงแค่เลิกเมา เลิกเห่อเหิมทะเยอทะยานต่อการครองโลก ต่อการดำรงตนเป็น “ประมุขโลก” ของฝ่ายตะวันตกหรือของพวกโลกขั้วอำนาจเดียวทั้งหลาย โอกาสที่ปมประเด็นความขัดแย้งแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี จะสิ้นสุด ยุติ ภายใน “โต๊ะเจรจา” ภายใต้ บรรยากาศแห่ง “สันติภาพ” ย่อมต้องมีความเป็นไปได้ไม่มาก-ก็น้อย...