หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
หลังทักษิณออกจากโรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องรับโทษในเรือนจำที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แม้แต่วันเดียว น่าจะเป็นคนแรกตั้งแต่มีคุกมาในประเทศไทยย้อนไปถึงสมัยสุโขทัยก็อาจจะได้ที่นักโทษได้รับอภิสิทธิ์ขนาดนี้
ข้ออ้างที่ว่าทักษิณเป็นโรคที่โรงพยาบาลในกรมราชทัณฑ์ไม่มีความสามารถจะรักษาได้ในตอนแรกมาจนถึงมีอาการอาจจะเสี่ยงถึงชีวิตที่ใช้เป็นข้ออ้างให้ทักษิณสามารถนอนในโรงพยาบาลถึงวันสุดท้าย แม้จะออกมาด้วยอาการใส่ปลอกคอและดามแขน แต่นั่นไม่น่าจะใช่โรคที่จะอ้างนอนนอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในห้องพักที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลตำรวจได้เลย เพราะไม่เห็นเลยว่าทักษิณจะมีอาการใกล้ตายตรงไหน
การช่วยเหลือของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจและกรมราชทัณฑ์ให้ทักษิณไม่ต้องเข้าคุกนั้นเป็นเรื่องผิดปกติแน่ๆ แต่ก็คงไม่มีใครสามารถเอาผิดคนเหล่านั้นได้ เพราะอำนาจอยู่ในมือของทักษิณ เพราะกระบวนการสอบสวนถ้าจะเกิดขึ้นก็ล้วนแล้วแต่อยู่ใต้อำนาจรัฐบาลทั้งสิ้น ต่อให้มีคนไปร้องป.ป.ช.ก็ไม่มีทางจะได้พยานหลักฐานและให้ความร่วมมือถึงขั้นเอาผิดใครได้
ดังนั้นแม้ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าทักษิณป่วยจริง แต่ละครบทนี้ก็คงต้องดำเนินต่อไป แล้วเรื่องราวก็จะค่อยเงียบไปในที่สุด แต่สิ่งที่ย่อยยับแตกสลายก็คือ ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม ความไม่ยุติธรรมที่เกิดในประเทศนี้ มันพิสูจน์แล้วว่า หากมีอำนาจอยู่ในมือจะบันดาลอะไรก็ได้ ไม่สนว่าใครจะมองอย่างไร และไม่มีใครละอายใจในสิ่งที่ทำลงไปเพื่อช่วยทักษิณไม่ว่าจะเป็นแพทย์โรงพยาบาลตำรวจและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เพราะตำแหน่งแห่งที่และการได้ปูนบำเหน็จในชีวิตราชการนั้นมันเห็นผลกว่าการรับโทษจากบาปกรรมที่ได้ทำลงไป
เมื่อทักษิณกลับมาได้แบบนี้แล้ว คอยดูว่าคนต่อไปที่จะกลับมาแบบเดียวกันก็คือยิ่งลักษณ์ในช่วงที่ทักษิณยังมีอำนาจและกระบวนการยุติธรรมก็จะถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้กับยิ่งลักษณ์เช่นเดียวกัน วันนี้พิสูจน์แล้วว่า มีแต่คนรับใช้ทักษิณเท่านั้นที่ติดคุก แต่ทักษิณและเครือญาติจะไม่มีวันติดคุกแม้แต่วันเดียว
คอยดูว่าทักษิณจะเล่นใส่ปลอกคอและดามแขนไปสักกี่วัน แต่แน่ๆ ก็คือ ถนนทุกสายในประเทศนี้จะมุ่งเข้าสู่บ้านจันทร์ส่องหล้าที่จะกลายเป็นศูนย์กลางบัญชาการของประเทศนี้แทนทำเนียบรัฐบาล เพราะการกลับมาเที่ยวนี้ของทักษิณนั้นไม่ใช่การกลับมาเพราะจะยอมจำนนรับโทษทัณฑ์ แต่มาในฐานะคนถือ “ดีล” ที่จะรับมือกับความท้าทายของพรรคก้าวไกล
ไม่มีใครเห็นหรอกว่าใครดีลกับใครไปดีลกันที่ไหน แต่เมื่อทักษิณไม่ต้องรับโทษในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยที่ไม่มีใครกล้าหืออือใดๆก็ทำให้คนเขาเชื่อว่าดีลนั้นน่าจะมีอยู่จริง
เมื่อทักษิณกลับมา เศรษฐา ทวีสิน ก็จะเป็นเพียงคนเล่นบทบาทนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจแท้จริงในมือ ถ้าเศรษฐาแข็งขืนก็อยู่ในตำแหน่งไม่ได้ เมื่อนั้นทักษิณก็จะดันลูกสาวคืออุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
การที่ต้องพึ่งพิงทักษิณก็อาจเป็นเพราะพรรคก้าวไกลกำลังเป็นพรรคการเมืองที่ท้าทายต่อความมั่นคงของประเทศ ชัดเจนแล้วว่าพวกเขามีเป้าหมายที่ท้าทายต่อระบอบของรัฐและสนับสนุนให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ชัดแล้วว่าพวกเขามีความมุ่งหวังที่จะเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้ข้อหานี้อาจจะทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบ แต่พวกเขาก็สามารถตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาได้
ทักษิณจึงมีภารกิจนี้ที่จะต่อกรกับความแรงของพรรคก้าวไกล แต่ก็มีคำถามว่า การหวังจะพึ่งพิงทักษิณแล้วแลกกับการยอมทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศนี้จะคุ้มไหม และมันจะยิ่งไม่กลายเป็นปุ๋ยเพาะเชื้อพันธุ์ของฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ต่อระบอบรัฐให้ยิ่งงอกงามเติบใหญ่ยิ่งขึ้นไปหรือ
แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลจะได้เสียงสนับสนุนประมาณ 14 ล้านเสียง ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 52 ล้านคน แต่เชื่อหรือว่าทักษิณจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นได้ และเชื่อหรือว่าคนไทยวันนี้ยังบูชาทักษิณด้วยทัศนคติว่าโกงไม่เป็นไรถ้าประชาชนได้ประโยชน์ด้วย
อาจจะคิดกันเพียงแค่ว่า ณ เวลานี้การเมืองของฝ่ายอนุรักษนิยมเดิมกำลังถดถอยและมีเพียงทักษิณเท่านั้นที่ยังพอจะมีมวลชนอยู่ในมือเพื่อรับมือกับพรรคก้าวไกลได้ อย่างน้อยก็น่าจะพึงพิงมวลชนของทักษิณกับมวลชนของฝ่ายอนุรักษนิยมที่มีอยู่รวมกันเพื่อต้านทานไม่ให้พรรคก้าวไกลได้เสียงข้างมากในสภาเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐได้ แต่คำถามว่าจะต้านทานได้นานแค่ไหน ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ถูกปลุกปั่นจากพรรคก้าวไกลและฝ่ายต่อต้านสถาบันกษัตริย์ได้
เชื่อเถอะว่าวันนี้ทักษิณไม่ได้มีมนต์ขลังเหมือนเก่าแล้ว แม้ว่าทักษิณจะยังมีผีโม่แป้งอยู่ในมือ แต่ก็เป็นคนรุ่นเก่าที่เป็นพวกตะวันกำลังตกดิน ต่อให้พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนแปลงให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นผู้บริหารพรรคและมีอุ๊งอิ๊งเป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็ไม่สะท้อนความหวังอะไรได้เลย และไม่มีใครเห็นว่าอุ๊งอิ๊งจะมีความสามารถที่จะมีสติปัญญานำพาประเทศชาติได้เลย คนรุ่นใหม่ในพรรคเพื่อไทยที่มีความหวังเป็นใครบ้างก็ยังมองไม่เห็นว่าจะพอมีใครที่จะพึ่งพาสติปัญญาความรู้ความสามารถได้บ้าง แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปสู้กับพรรคก้าวไกล
ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าพรรคก้าวไกลจะชนะได้เสียงข้างมากเกินครึ่งสภาได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ถ้านานกว่านั้นผมไม่กล้ารับประกันอย่างแน่นอนหากเราจะฝากความหวังไว้กับการเมืองเก่าของทักษิณและลิ่วล้อ ที่ไม่ได้ยึดมั่นกับความถูกต้องและความยุติธรรม และภาพที่ห่อหุ้มตัวของทักษิณก็คือ การฉ้อฉลและแสวงหาประโยชน์
ณ เวลานี้เราอาจจะเห็นว่าพรรคก้าวไกลกำลังจะเพลี่ยงพล้ำกับกระแสของสังคมเพราะความก้าวร้าวของมวลชนที่พรรคก้าวไกลให้การสนับสนุนอย่างกลุ่มทะลุวัง คนจำนวนมากรับไม่ได้กับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ แต่ขณะเดียวกันถ้าการเมืองเก่าก็ยังเต็มไปด้วยการฉ้อฉล การแสวงหาประโยชน์ และความอยุติธรรมที่ประจักษ์ชัดในกรณีของทักษิณ เราก็ต้องลองชั่งใจดูว่าสุดท้ายแล้วคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้จะเลือกแบบไหน คนรุ่นใหม่ที่เวลาในอนาคตเป็นของพวกเขาจะเลือกประเทศของเขาแบบไหน
เราอาจจะเชื่อว่าต่อให้พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากเกินครึ่ง แต่ฝ่ายที่คุมอำนาจในประเทศนี้ก็คงไม่ยอมให้เกิดขึ้นหากยังท้าทายต่อรูปแบบและระบอบของรัฐ แต่ถามว่าเราจะแข็งขืนไปได้นานไหม ตอนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชายึดอำนาจเราก็ยื้ออยู่ได้ 5 ปี แล้วต่อด้วย 4 ปีที่ออกแบบให้ได้เปรียบด้วยอำนาจของส.ว.ในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เราก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ตลอดไปใช่ไหม แล้วผลลัพธ์ก็ตามมาด้วยการชนะเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลอย่างไรเล่า
ส่วนตัวผมมองว่า ถ้าเราจะต่อสู้กับพรรคก้าวไกลนั้น เราต้องทำให้เห็นว่า ระบอบของรัฐและโครงสร้างอำนาจที่เป็นอยู่นั้นยังทำให้ประเทศและคนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตไปข้างหน้ามีความหวังที่จะมองเห็นความก้าวหน้าของชีวิตในประเทศนี้ มีโอกาสที่จะยกระดับชีวิตของตัวเอง มีการเมืองที่โปร่งใส มีความยุติธรรมที่จับต้องได้ แต่ลองนึกดูว่าการเมืองที่เป็นอยู่มีความหวังที่จะไปสู่เป้าหมายแบบนั้นไหม
แม้เราจะคาดการณ์กันว่า ความก้าวร้าวของคนรุ่นใหม่และความท้าทายของพรรคก้าวไกลต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในประเทศอีกครั้งซ้ำรอยที่เคยเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2519 แต่ครั้งนั้นผลจบลงด้วยชัยชนะต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศที่มีความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐลงไปได้ แต่เรามั่นใจไหมว่าหากเกิดความขัดแย้งรุนแรงอีกครั้งผลจะจบลงอย่างไร
เมื่อมองไปข้างหน้าแล้วก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า “ดีล”ที่หวังพึ่งพิงทักษิณแลกกับความย่อยยับของกระบวนการยุติธรรมนั้น สุดท้ายแล้วมันเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไหนกันแน่