ไม่ว่าผู้นำโลก ผู้นำอเมริกา อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ท่านจะเอ๋อมาก-เอ๋อน้อย พืดผิด-พืดถืก จำผิด-จำถูก ประเภทจำชื่อประธานาธิบดีอียิปต์ได้ แต่ดันไปเรียกขานเป็นประธานาธิบดีเม็กซิโกไปซะนี่!!! หรือกระทั่งจำไม่ได้ว่าลูกชายตัวเองตายไปเมื่อไหร่? ตอนไหน? ไปจนอาจถึงขั้นจำไม่ได้ว่าตัวเองเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? อย่างไร? ดังเช่นที่คู่แข่ง คู่ชิง อย่าง “ทรัมป์บ้า” ออกมาเยาะเย้ย เสียดสีไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ ฯลฯ...
แต่ทั้งนั้น ทั้งนี้...ยังไม่น่าจะหนักหนา-สาหัสเท่ากับการจำได้อย่างแม่นยำชัดเจนชนิดถึงขั้นต้องออกมาป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน ว่าตัวเองคือ “Zionist” ตัวพ่อ ผู้พร้อมจะให้การสนับสนุน ปกป้อง อุ้มชูฟูฟัก พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ไม่ว่าจะโหด จะอำมหิต จะเหี้ย...มม์ม์ม์สุดๆ ไปถึงขั้นไหนรัฐบาลอเมริกันของคุณปู่โจ ก็ยังพร้อมให้การช่วยเหลือทั้งเงินๆ-ทองๆ ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ แม้ศาลอาญาระหว่างประเทศจะวินิจฉัยชี้ขาดถึงการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือแม้นานาประเทศ ระดับ 120-153 ชาติ จะเห็นพ้องต้องกันที่จะต้องให้ “หยุดยิง” ในสงครามอิสราเอล-ฮามาสโดยฉับพลัน-ทันที แต่ก็ยังดันถูกมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกและมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างอเมริกา ออกมา “วีโต้” กันไปซะอีก...
อันนี้นี่แหละ...ที่กำลังทำให้ใครต่อใครต่าง “รับไม่ได้” กับบทบาท ท่าที ของรัฐบาลอเมริกันและผู้นำอเมริการายนี้ยิ่งเข้าไปทุกที แม้แต่บรรดา “มืออาชีพ” อย่างบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ต่างเคยมีประสบการณ์ด้านต่างประเทศรายละไม่น้อยกว่า 10 ปี ทั้งในอเมริกาและในประเทศยุโรปไม่น้อยกว่า 11 ประเทศ ไม่ว่าฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ ฯลฯ จำนวนถึง 800 กว่าคนเขาเลยอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมา “เข้าชื่อ” ในแถลงการณ์ร่วมที่เรียกว่า “Transatlantic Statement” เพื่อคัดค้านและประณามนโยบายของรัฐบาลอเมริกา-ยุโรป ต่อฉากสถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส ว่าถือเป็นการ “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือทำให้โอกาสที่รัฐบาลอเมริกันและยุโรปอาจต้องตกเป็นผู้ต้องหาสมรู้ร่วมคิดในการ “ก่อหายนะต่อมนุษยชาติครั้งเลวร้ายที่สุดในศตวรรษ” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
หรือแม้แต่ตัวผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายความมั่นคงต่างๆ ในรัฐบาล “โจ ซึมเซา” เองก็เถอะ อย่าง “นายJon Finer” รองที่ปรึกษาความมั่นแห่งชาติของรัฐบาลอเมริกันชุดนี้ ยังต้องออกมายอมรับถึง “ความผิดพลาดครั้งใหญ่” ต่อท่าทีของรัฐบาล ในการสนับสนุน ส่งเสริมอิสราเอลให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์บรรดาชาวปาเลสไตน์อย่างไม่คิดจะบันยะ-บันยังเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ตัวเลขของผู้คนพลเรือน ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา จะตายโหง-ตายห่าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 28,176 ราย บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 67,784 ราย และในจำนวนนี้เป็นเด็กและผู้หญิงไม่ต่ำกว่า 65-70 เปอร์เซ็นต์ แต่นั่นก็ยังไม่ได้ลดความบ้าระห่ำ ความกระเหี้ยนกระหือรือของพวก “บ้าสงคราม” ที่กำลังมุ่งล้างผลาญบรรดาชาวปาเลสไตน์ให้มีแต่ต้องฉิบหาย-วายวอด ยิ่งขึ้นไปอีก...
ยิ่งเมื่อได้เห็นข่าวคราวเรื่องหนูน้อยวัยแค่ 6 ขวบอย่าง “Hind Rajab” ได้รับการเผยแพร่ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เด็กหญิงผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ที่ได้แต่ส่งเสียงโหยหวนครวญครางผ่านโทรศัพท์มือถือถึงหน่วยงานกาชาดปาเลสไตน์ หรือ “PRCS” ขณะที่ตัวเองและญาติมิตร คุณลุง คุณป้า ที่พยายามอพยพหลบหนีภัยสงครามออกจากกรุงกาซา ซิตี้ แต่ไปติดอยู่ในพื้นที่ไล่ล่าระหว่างกองทัพอิสราเอลกับพวกฮามาสแถวๆ เขต “Tel al-Hawa” จนต้องตะโกนแล้ว ตะโกนเล่า ว่า “ช่วยหนูด้วยๆ...หนูกลัวเหลือเกินช่วยพาหนูออกไปจากที่นี่ด้วยเถิด!!!” อะไรประมาณนั้น แต่ไม่ว่าส่งเสียงร้องจนเสียงแหบ เสียงแห้ง กว่าที่เจ้าหน้าที่ “PRCS” จะส่งคนออกไปช่วยต้องรอจนกว่าเหตุการณ์จะซาๆ ลงไปถึงร่วม 3 ชั่วโมง และแม้หลังจากต้องขออนุญาตจากกองทัพอิสราเอลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงจะสามารถส่งหน่วยแพทย์ทหารออกไปช่วยเหลือหนูน้อยรายดังกล่าว แต่สุดท้าย...แพทย์ทหารทั้งสองรายก็ถูก “หน่วยแม่นปืน” ของกองทัพอิสราเอลเด็ดหัว ตายห่างจากรถของ “Hind Rajab” ไปแค่ไม่กี่เมตร ส่วนหนูน้อยผู้นี้และญาติมิตรคุณลุง คุณป้า แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะจนกระทั่งอีก 12 วันต่อมาถึงได้ค้นพบศพทั้งหมดที่เน่าเฟะอยู่คารถซึ่งถูกกระสุน ถูกระเบิด ถล่มซะยับเยิน...
ภาพใบหน้าของหนูน้อย “Hind Rajab” ขณะยังมีชีวิตอยู่...ที่ถูกนำมาเปิดเผยให้เห็นหลังจากนั้น ทำเอาใครต่อใครมีแต่ต้องน้ำตาไหลพรากๆ ไปตามๆ กัน ด้วยสีหน้า-สีตาที่สวย บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ทำให้อดนึกถึงเสียงร้อง เสียงตะโกน เสียงโหยหวนครวญครางระหว่างที่เธอกำลังต้องตกอยู่ในความเหี้ยมโหดอำมหิต ความอัปลักษณ์ของสิ่งที่เรียกว่า “สงคราม” ขึ้นมามิได้ชนิดใครก็ตามที่ยังพอหลงเหลือ “ความเป็นมนุษย์” ติดตัวแม้แต่เล็กๆ-น้อยๆ น่าจะต้องรู้สึกถึงความเจ็บ ความปวด รู้สึกถึงคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย...
แต่ก็นั่นแหละ...ผู้ที่เอ๋อมาก-เอ๋อน้อย จะด้วยเหตุเพราะความแก่ ความชรา หรือความอะไรก็ตามที แต่เนื่องจากในฐานะที่ตัวเองเป็น “Zionist” ตัวพ่อ อันเป็นสิ่งที่คุณปู่ “โจ ซึมเซา” ภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน รัฐบาลอเมริกันก็เลยยังไม่คิดจะทำอะไรกับการสนับสนุน ส่งเสริม ให้กองทัพอิสราเอลดำเนินการเข่นฆ่า ล้างผลาญบรรดาชาวปาเลสไตน์อีกต่อไป แม้แต่การคิดจะบุกอาณาบริเวณด้านใต้ของเขตฉนวนกาซา หรือการเตรียมบุกเมือง “Rafah” ที่ติดอยู่กับพรมแดนอียิปต์แค่ไม่กี่กิโลเมตรอันเป็นพื้นที่ที่บรรดาชาวปาเลสไตน์ที่หนีตาย หนีภัยสงคราม ตามคำสั่งของอิสราเอลไปออกันอยู่ในอาณาบริเวณแห่งนี้จำนวนไม่น้อยไปกว่า 1.4 ล้านคน แม้ว่าแทบจะทั้งโลกออกมาส่งเสียงคัดค้าน ต่อต้าน ต่อแผนการดังกล่าว รวมทั้งประธานาธิบดีอียิปต์ ที่ถึงกับระบุว่าถือเป็นการ “ละเมิดเส้นตาย” (Red Line) ของอียิปต์จนอาจต้องอาศัยกำลังทหารเข้าตอบโต้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” คิดลดราวาศอกเอาเลยแม้แต่น้อย...
อาจด้วยเหตุอย่างที่ “Elizabeth Blade” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว “RT” ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ ว่าเพราะอาณาบริเวณดังกล่าวมันมีพื้นที่แคบๆ อยู่ห่างไปจากพรมแดนอียิปต์ประมาณ 14 กิโลเมตร ที่เรียกว่า “Philadelphia Route” หรือ “Philadelphia Corridor” อะไรทำนองนั้น อันเป็นช่องทางที่พวกนักรบฮามาสเคยใช้ขนอาวุธ เทคโนโลยี เงิน ไปจนถึงบุคลากรต่างๆ มาโดยตลอด การคิดจะกวาดล้างพวกฮามาสให้สิ้นซาก โดยไม่จำเป็นต้องสนใจว่าบรรดาพลเรือน ผู้บริสุทธิ์ที่หนีตายไปออกันอยู่ในบริเวณชายแดนอียิปต์ จะตายโหง-ตายห่ากันไปอีกถึงขั้นไหน ไม่ก็อาจต้องทะลักเข้าไปในดินแดนอียิปต์และไม่อาจกลับมายังบ้านเมืองตัวเองอีกต่อตราบชั่วนิจนิรันดร์กาล หรือตราบเท่าที่อิสราเอลได้สถาปนา “อำนาจ” ขึ้นมาควบคุมบรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ไม่ให้มีใครคิดร้ายต่อชาวอิสราเอลได้อีกต่อไป อันจะทำให้ความเป็นประเทศ “ปาเลสไตน์” ไม่ได้มีความหมาย หรือไม่ได้หลงเหลืออยู่อีกเลย แต่สิ่งเหล่านี้...ไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในสมอง ในหัวกะโหลกของผู้นำอเมริกา อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะหลังการพูดคุยโทรศัพท์กับผู้นำอิสราเอลเป็นที่เรียบร้อยรัฐบาลอเมริกัน ก็พร้อมที่จะ “เปิดไฟเขียว” ให้กับแผนการดังกล่าว โดยไม่ได้ตระหนักถึงชีวิต เลือดเนื้อ พลเรือนผู้บริสุทธิ์เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะเชื่อว่ากองทัพอิสราเอลคงจะมีแผนปกป้องชีวิตของพลเรือนก่อนการบุกภาคพื้นดินจะเริ่มต้นขึ้น...
อันนี้นี่เอง...ที่มันทำให้ “ความเอ๋อ” ของผู้นำอเมริกาที่มีฐานะไม่ต่างไปจาก “ประมุขโลก” อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าขยะแขยง และน่าชิงชังเป็นอย่างยิ่ง!!! โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังรู้สึกว่าเสียงเรียก เสียงตะโกน เสียงโหยหวนครวญครางของเด็กหญิงวัย 6 ขวบ อย่าง “Hind Rajab” ว่า... “ช่วยหนูด้วย!!! ช่วยหนูด้วย!!!” ยังคงติดหูตัวเอง อย่างชนิดล้างยังไงก็ล้างไม่ออก เพราะสำหรับผู้ที่ยังคงหลงเหลือ “ความเป็นมนุษย์” อยู่มั่งแม้แต่เล็กๆ-น้อยๆ น่าจะพอได้ยินเสียงกรีด เสียงร้องอยู่ภายในจินตนาการตัวเองได้ไม่ยาก แต่อาจด้วยเหตุเพราะ “ความเอ๋อ” ของผู้นำอเมริกันรายนี้มันได้ทำให้ “ความเป็นมนุษย์” สูญหายไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะไปคิดกันเอาเอง...
การสมรู้ร่วมคิดในการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ ของผู้นำอเมริกันที่ป่าวประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่าตัวเองคือ “Zionist” ตัวพ่อ มันเลยทำให้ใครต่อใครชักไม่อาจ “เอามือซุกหีบ” ได้อีกต่อไปไม่ว่ารัฐบาลอียิปต์ที่ต้องปกป้อง “เส้นตาย” ของประเทศไม่ให้เกิดการรุกล้ำได้ง่ายๆ ไปจนรายล่าสุด...อย่างรัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย “นายFaisal Mekdad” ที่ถึงกับต้องออกมาประกาศว่าพร้อมแล้วที่จะทำ “สงครามเต็มรูปแบบ” กับอิสราเอล ในอีกไม่นานนับจากนี้ ไม่ว่าด้วยความอดรนทนไม่ได้แบบเดียวกับพวก “Axis of Resistance” ทั้งหลาย หรือเพื่อทวงคืนที่ราบสูงโกลันก็แล้วแต่จนสุดท้าย...มันคงหนีไม่พ้นไปจากฉากเหตุการณ์ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” ที่จะนำมาซึ่ง “สงครามโลก” จนได้!!!