"โสภณ องค์การณ์"
ประเทศไทยดินแดนแห่งการทุจริตคอรัปชัน การแสวงหาผลประโยชน์ทางตรงและทับซ้อน รวมถึงเล่ห์เพทุบายทุจริตแบบมีเชิง กำลังมีเรื่องเปิดโปรมิติใหม่
นักทุจริตซึ่ง เป็นแกน “อักษะแห่งความชั่วร้าย” นั้น มีนักการเมือง ข้าราชการและพ่อค้า เผชิญกับ “ นักร้อง” และ “ นักรีด” ซึ่งไม่ต่างจากสถานการณ์โจรปล้นโจร
วงการ “นักร้องเรียน” ถึงยุคของการโดนตรวจสอบ โดยนักร้องอาจจะโดนนักร้องตรวจสอบกันเอง หรือนักร้องถูกนักรีดขอส่วนแบ่งบ้าง ถือว่าเป็น “ค่ารู้ฟัง”
วงการนี้จึงเหมือน “ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ต่างคนต่างรู้เส้นทางของกันและกัน ว่าทำมาหากินอย่างไร แต่ละอาชีพความเสี่ยง ดังนั้นเป้าหมายหรือเหยื่อจึงเป็นคนในแกนอักษะแห่งความชั่วร้าย
วงการนี้หากินกันหลายรูปแบบ บางพวกเป็นทั้งนักร้องและนักรีด โดยมีทีมทำงาน เช่นหน่วยสืบเสาะว่าเหยื่อของการรีดได้รับรายได้มาอย่างไร สมควรถูกรีดจำนวนเท่าไหร่ถึงจะไม่ร้องโวยวาย
เหยื่อบางรายถูกรีดซ้ำโดยนักร้องรายอื่นๆ เมื่อเห็นว่าเหยื่อยังมีทรัพยากรเหลือเฟือ อ้วนท้วนสมบูรณ์ทนต่อภาระการถูกกดขี่ขูดรีด พวกนี้มีรายได้จากความเสี่ยงในการทุจริตเช่นเดียวกัน
กรณีข้าราชการกรมข้าวที่ร้องโวยวาย ว่ามีกลุ่ม นักร้อง นักรีด รวมหัวกันเล่นงานจนโดนกับดักถูกจับกุมดำเนินคดีไปแล้วนั้น เรื่องยังไม่จบ ยังมีประเด็นน่าสงสัย ลับลมคมในให้สะสาง
งานอย่างนี้มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องถึงขั้นไหนต้องใช้เวลาพิสูจน์และอาจจะไม่มีหลักฐานย้อนรอยว่าใครเป็นคนดีแท้จริงแค่ไหน อยู่ในตำแหน่งสำคัญด้วยฝีมือความรู้ความสามารถ หรือวิธีการอื่นใด
นายตำรวจผู้ควบคุมคดีประกาศแล้วว่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ซึ่งเป็นประโยคมาตรฐาน ย้อนแย้งกับความเป็นจริงที่ว่าผู้กระทำความผิด “ไม่ต้องการความยุติธรรม แต่ต้องการให้หลุดคดี”
ที่น่าตกใจคือมีกลุ่มนักร้องนักรีด หรือนักตบมากกว่าหนึ่งชุด แต่ละกลุ่มแยกย้ายกันหาเหยื่อโดยไม่พยายามข้ามเส้นทางกันเองเพื่อรักษาผลประโยชน์
กลุ่ม “พี่ศรี” ถูกย้อนเกล็ด โดยเป้าหมายและนำไปสู่การสืบสวนย้อนไปดูว่าพฤติกรรมอย่างนี้เคยเกิดขึ้นก่อนหรือเปล่า แถมยังมีเสียงอ้างว่าเหยื่อรายอื่นพร้อมจะแสดงตัว
นั่นก็ต้องรอดูว่ากรณีของ “พี่ศรี” จะลงเอยอย่างไร เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าได้เข้าถึงตัวผู้วางแผนและมีผลงานจากการ “ตบและรีด” เป็นที่รู้กันในวงการเหยื่อ
แม้กระทั่ง “แรมโบ้” ซึ่งถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตองอู ก็ยังไม่วายโดนรีด ตามคำอ้างกับสี่อวันก่อน ว่ามีกลุ่มนักตบนักรีดคนดังตามรังควานไม่หยุด
ทำให้เกิดคำถามว่าระดับ “แรมโบ้” ทำไมจึงกลายเป็นเหยื่อไปได้ และมีเหตุอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้น หรือจะเป็นแบบเหนือฟ้ายังมีฟ้า “เซียนเหนือเซียน” อะไรอย่างนั้น
โดยปกติแล้วบุคคลใดก็ตามที่ไม่มีแผลหรือจุดอ่อนให้นักตบนักรีด ขอส่วนแบ่งอย่างไร้เหตุผลย่อมร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองช่วยจัดการให้ได้อย่างที่อธิบดีกรมข้าวได้ทำไปแล้ว
สำหรับกลุ่มผู้มีแผลย่อมไม่ต้องการให้ถูกเปิดเผยเป็นเรื่องราวใหญ่โตเว้นแต่พวกทำใจดีสู้เสือที่จะเสี่ยงและหวังว่าเส้นสายเครือข่ายผู้คุ้มครองจะช่วยกันไม่ให้เรื่องลามเข้าถึงตัว
เว้นเสียแต่ว่าโชคร้ายจริงๆ ที่ไปเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจตงฉินไม่ยอมให้จบคดีง่าย อย่างนี้ต้องมีใครช่วยออกกำลังเพิ่ม แต่ถ้าเป็นตำรวจธรรมดาไม่ได้กินดีหมีหัวใจเสือมาและไม่มีแบ็คดีคงไม่อยากเสี่ยงหาเรื่องใส่ตัว
แต่ก็มีนักตบนักรีดชั้นเซียนที่ไม่ต้องร้องเรียน เพียงแต่ส่งเสียงกระซิบหรือสัญญาณให้เหยื่อตัวใหญ่มีแผลแค่นี้ก็ย่อมมีของมาเซ่นไหว้ พวกนี้ เปรียบเหมือนฉลามน้ำลึก งับแต่ละคำ แต่ละชิ้นต้องคุ้มค่า
ประเภทนี้เหยื่อไม่กล้าร้องโวยวายมองว่าถ้าเกิดปัญหายืดเยื้อเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย คงได้แต่นึกว่าขอกันกินมากกว่านี้ เอาไว้ เป็นพรรคพวก พึ่งพากันต่อไปจะดีกว่า
นักร้องขาใหญ่อย่างนี้มีแทบทุกวงการแม้กระทั่งในวงการบันเทิงและกีฬา ผลประโยชน์มากมายทำให้เป็นแหล่งทำมาหากินของคนสีเทา นักรีดและนักตบ
ตอนนี้ "พี่เรือง” ซึ่งเป็นนักร้องระดับคลาสสิกเสียงไม่แตกก็ถูกนักร้องประเภทหนีบถุงใส่เอกสารร้องอย่าง “พี่แจ็ค” เจาะฐาน อ้างว่ามีพฤติกรรมคล้ายกับ “พี่ศรี” ดังนั้นคู่นี้ต้องให้บรรดาเซียนลุ้นว่าจะออกหัวหรือออกก้อยเพราะ “พี่เรือง” ก็ไม่ธรรมดา เป็นนักสะสมรถเบนซ์ เพราะทำงานเข้าตา “ผู้ใหญ่ใจดี”
ส่วนพี่แจ็คเหมือนนักร้องหัวเดียวกระเทียมลีบแต่อยู่ในประเภท กล้าชน ปะทะกับรายใหญ่และกัดไม่ปล่อยเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาผลงานเข้าตาแฟนๆ ถือว่ามีระดับใช้ได้ มีอนาคตถ้าไม่สะดุดตอเสียก่อน
ร้อง รีด แล้วรอด นั่นมีโอกาสรวย และเมื่อถึงจุดอิ่มตัว ควรล้างมือก่อนที่กำลังวังชาหรือฤทธิ์เดชลดถอยทำให้อดีตเหยื่อหาทางเอาคืนแบบที่ไม่สามารถแก้มือได้
แบบนี้มีสองทางเลือกคือ “ อยู่ในวัด” ฟังพระสวด พรรคพวกได้กินข้าวต้ม อีกทางคือ “อยู่ในคุก” แบบทรมานและผวาว่ามีใครเล่นงานถึงเจ็บถึงตายหรือไม่
มีเสียงร่ำลือว่าอาจจะมีนักร้องและพรรคพวกรายอื่นตกอยู่ในสภาพใกล้กับ “พี่ศรี” เมื่อมีตัวอย่างให้เห็นว่าเหยื่อของการถูกรีดสามารถเอาคืนได้ถ้าเก็บหลักฐานไว้ก่อนหน้านี้
จะเป็นการสิ้นสุดยุคทองของนักรีดหรือไม่ คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้เพราะมีผู้ปฏิบัติงานหลายระดับ ฤทธิ์เดชลีลาและพลังต่างกัน พวกหากินจับเหยื่อตัวโตคงจะไม่มีใครอยากเสี่ยงด้วย
นั่นเป็นเพราะนักรีดมีฤทธิ์เดชย่อมมีเครือข่าย ตัวตายตัวแทน เหยื่อจะลำบากถ้าร้องโวยวาย จนทำให้ธุรกิจใต้โต๊ะไม่ราบรื่น ถ้ามีเจ้าหน้าที่รับบทเป็นนักรีด นักตบ ทำให้ต้องเสียหลายต่อ
“เสือไม่กินเนื้อเสือ” ในวงการนักรีดย่อมเป็นจริงเสมอไป เพราะนักรีดอาจเป็นตัวเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์และคุ้มครองพวกเดียวกัน ดังนั้นควรอยู่ในวงการนี้ย่อมต้องระมัดระวังสูงสุด
เราจับตาดูกันต่อไปว่ากระบวนการรักษากฎหมายจะกำจัดนักรีด นักตบให้ลดละเลิกกิจกรรมสร้างรายได้ง่าย ไม่เหนื่อยมาก แบบนี้ได้หรือไม่
แน่นอนย่อมมีวิธีพลิกแพลงลูกเล่นใหม่เพื่อให้งานได้ผลและลดความเสี่ยง และอีกไม่นานเราคงจะได้รู้ว่าใครคือสุดยอดในวงการนี้อย่างแท้จริง