xs
xsm
sm
md
lg

พรรคก้าวไกลยากที่จะได้อำนาจรัฐ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ มีมติว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ....เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และสุดท้ายก็จะมีคนไปร้องให้ยุบพรรคอย่างแน่นอน

ผมคิดว่ามีคนไม่น้อยที่หวั่นเกรงวันที่พรรคก้าวไกลจะขึ้นมามีอำนาจแล้วพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิมตามที่ประกาศไว้ แม้ไม่รู้ว่าประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมของพรรคก้าวไกลจะมีความหมายอย่างไร แต่แน่นอนว่าด้วยจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคย่อมจะท้าทายต่อโครงสร้างเก่าของสังคมไทยอย่างแน่นอน

 การพลาดโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้นชัดเจนว่า เพราะท่าทีของพรรคก้าวไกลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะจุดยืนในการแก้ไขมาตรา 112 ในวันโหวตนายกรัฐมนตรีนั้น มีหลายพรรคบอกว่า หากพรรคก้าวไกลยอมถอยเรื่องนี้จะโหวตให้ แต่ท่าทีที่แข็งกร้าวพร้อมจะท้าชนของพรรคก้าวไกลนั้น ทำให้พิธาพลาดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีไป

 สะท้อนชัดเจนว่าสำหรับพรรคก้าวไกลแล้วโอกาสในการได้อำนาจรัฐที่จะนำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าและทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดีนั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับความมุ่งมั่นที่จะท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ และทำให้สูญเสียโอกาสไปในที่สุด

ดังนั้นหากพรรคก้าวไกลจะเป็นรัฐบาลของประเทศนี้จุดแรกที่จะต้องปรับตัวก็คือท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นทรงอยู่เหนือการเมือง แต่พรรคก้าวไกลพยายามทำให้เห็นว่าเป็นอำนาจที่ครอบงำการเมืองไทย

คนส่วนหนึ่งมองว่า โครงสร้างเก่าของสังคมไทยนั้นดีอยู่แล้ว คนไทยมีศูนย์รวมจิตใจคือสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองมา แต่ความคิดของพรรคก้าวไกลนั้นต้องการที่จะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเป็นความคิดที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่ก่อนจะก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผ่าน สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันที่เป็นเครื่องมือในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ก่อตั้งโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ผลิตสื่อของฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมออกมาจำนวนมาก

รวมไปถึงบทบาทของ ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์โดยอาศัยชั้นเชิงในทางวิชาการเสมอมา ล่าสุดปิยบุตรแสดงท่าทีไม่พอใจที่แถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลในปี 2567 ไม่มีการพูดถึงการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งสะท้อนจุดยืนของปิยบุตรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างดี

ครั้งหนึ่งปิยบุตร กล่าวว่า หากเราไปดูในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงจากระบอบกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายเกิดขึ้นเพียงสองทางเท่านั้น คือกลายมาเป็นระบอบกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย (Constitutional Monarchy) หรือกลายมาเป็นสาธารณรัฐ สุดท้ายถ้ากษัตริย์ไม่ปรับตัว หน่วยอำนาจใหม่ชนะก็จะกลายเป็นสาธารณรัฐ แต่ถ้าไปดูประเทศที่เปลี่ยนมาเป็น Constitutional Monarchy ได้ ก็เพราะกษัตริย์ยอมลดทอนอำนาจตัวเองลงให้มาอยู่ใต้ระบอบประชาธิปไตยเพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้

มีคำถามต่อปิยบุตรนะว่าประเทศไทยของเราเป็นระบอบ Constitutional Monarchy อยู่แล้ว พระมหากษัตริย์ไทยอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอยู่แล้วไม่ใช่หรือจะให้ถอยหลังไปไหนอีก หรือว่าถ้าไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของปิยบุตรก็จะนำไปสู่ระบอบสาธารณรัฐเช่นนั้นหรือ เหมือนคำขู่เสมอมาว่า ถ้าไม่เอาปฏิรูปก็ต้องปฏิวัติ

 ปิยบุตรเคยบรรยายกับนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ตอนหนึ่งว่า รัฐสมัยใหม่รุ่นแรกๆ ผู้ปกครองคือพระมหากษัตริย์ สืบทอดทางสายโลหิต นี่เป็นรัฐแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์ก็มีกฎเกณฑ์การสืบทอดทางสายโลหิตต่อไป รัฐไม่ได้ล้มสลายหายไป ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ผ่านไปเรื่อยๆ คนเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมต้องยอมให้คนตระกูลๆ หนึ่งเท่านั้น จำเป็นต้องเป็นอย่างนี้เหรอ นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เกิดการปราบดาภิเษกอยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการต่อมา ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ชอบธรรมในโลกสมัยใหม่ จึงเกิดรัฐประชาธิปไตยขึ้น สิทธิธรรม ความชอบธรรมผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นการอธิบายใหม่ว่า อำนาจสูงสุดที่ใช้ปกครองในรัฐนั้นไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทุกๆ คน จึงสร้างสิ่งสมมติขึ้นมาแทนคนทุกๆ คน นั่นก็คือ people หรือประชาชน นี่คือการถ่ายโอนอำนาจสูงสุดที่อยู่ที่คนหนึ่งคนให้เป็นทุกคน และใช้วิธีการเลือกตั้งผู้ปกครอง เป็นรัฐแบบประชาธิปไตย

นี่เป็นตัวอย่างว่า ปิยบุตรไม่ได้ไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น แต่ปิยบุตรไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์นั่นเอง

ทัศนคติของพรรคก้าวไกลที่ถูกปลูกฝังมานั้นเป็นอันตรายเกินไปต่อรูปแบบและระบอบของรัฐ คงจะไม่มีใครยอมให้พรรคก้าวไกลได้อำนาจรัฐแน่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการเมือง แม้ว่าวันเวลาจะเป็นของคนรุ่นใหม่ และการเมืองไทยจะตัดสินกันด้วยผลการเลือกตั้ง แต่ถ้าผลนั้นมันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรูปแบบของรัฐอย่างใหญ่หลวงก็มีความชอบธรรมที่จะยับยั้งการเปลี่ยนแปลงนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่วิธีการทางประชาธิปไตย จะมีอำนาจรัฐไหนล่ะที่จะไม่ปกป้องระบอบและอุดมการณ์ของรัฐเอาไว้แม้จะใช้วิธีใดก็ตาม

อย่าลืมว่า ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและระบอบของรัฐนั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคการทำสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แม้พรรคคอมมิวนิสต์จะสามารถจัดตั้งเข้ามาในเมืองในรั้วมหาวิทยาลัย จนเกิดความท้าทายอย่างใหญ่หลวงต่อระบอบของรัฐ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีการล้มตายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรม แต่ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นั้น ผลพวงตรงกันข้ามก็คือ การโค่นล้มแบบที่เกิดกับระบอบกษัตริย์ในลาวนั่นเอง ดังนั้นความชอบธรรมที่จะปกปักรักษาระบอบรัฐก็มีอยู่เช่นกัน

แม้มีคนมองว่า วันหนึ่งข้างหน้าพรรคก้าวไกลจะแลนด์สไลด์จนได้อำนาจรัฐก็ได้ แต่ส่วนตัวผมมองว่า อาจจะไม่ง่ายเช่นนั้น เชื่อว่า ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งมาอันดับ 1 นั้นน่าจะเป็นจุดพีคที่สุดแล้ว เพราะคนส่วนหนึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลงจากระบอบ 3 ป.เท่านั้นเอง แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นนำประเทศไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองเกิดมิคสัญญีขึ้นในประเทศ เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย

 การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการต่อสู้กันอย่างเต็มตัวของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เราต้องยอมรับว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาสองพรรคถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเพราะมองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนกัน และพรรคเพื่อไทยก็ประมาทพรรคก้าวไกล เพราะเชื่อว่าพรรคของตัวเองจะแลนด์สไลด์เพราะสังคมไทยถึงจุดที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยเห็นศักยภาพของพรรคก้าวไกลแล้ว แม้ว่าความสดและความร้อนแรงของพรรคก้าวไกลอาจจะทำให้ได้อันดับ 1 อีก แต่ก็ยากที่จะได้เสียงเลือกตั้งเกินครึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นโอกาสในการได้อำนาจรัฐของพรรคก้าวไกลก็จะไม่มี เพราะพรรคอื่นทุกพรรคจะจับมือกันสกัดไม่ให้พรรคก้าวกลไปรัฐบาลอย่างแน่นอน

และอย่าลืมว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า นักโทษชายทักษิณจะออกจากคุกมาคุมบังเหียนแม้จะอยู่เบื้องหลังก็ตาม และมีความฝันที่จะผลักดันลูกสาวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ไม่ง่ายหรอกที่พรรคก้าวไกลจะได้อำนาจรัฐโดยยังมีจุดยืนที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐที่แท้จริงจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น และเขาก็มีเหตุผลที่จะปกป้องระบอบของรัฐอย่างที่กล่าวมาแล้ว หากพรรคก้าวไกลอยากจะได้อำนาจรัฐต้องลดท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมา และมองว่าสถาบันเป็นส่วนที่อยู่เหนือการเมือง ไม่นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเป้าโจมตีเพื่อหวังผลทางการเมือง ลองมองดูสิว่าวันนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือพรรคก้าวไกลดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองกันแน่

แนวร่วมของพรรคก้าวไกลคนรุ่นใหม่ที่โดนดำเนินคดีตามมาตรา 112 นั้นเป็นพรรคกฎหมายไปกลั่นแกล้งพวกเขาหรือว่า พวกเขาทำความผิดตามบทบัญญัติที่กฎหมายห้ามไว้กันแน่ ซึ่งไม่มีวันจะอ้างว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายเป็นเสรีภาพได้เลยไม่ว่าจะอยู่บนส่วนไหนในโลกใบนี้

สมาชิกพรรคก้าวไกลน่าจะตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องมีจุดยืนที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำไมไม่มุ่งหวังจะทำการเมืองเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน คนในพรรคถูกครอบงำจากพวกที่มีความคิดปฏิกษัตริย์นิยมเกินไปหรือไม่ จนทำให้โอกาสดีๆที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมืองถูกบดบังไปหมด ตั้งคำถามว่าพรรคควรจะเปลี่ยนแปลงจุดยืนเพื่อให้ได้อำนาจรัฐซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของพรรคการเมืองทุกพรรคอย่างไร และจะสำเร็จไหมหากไม่เปลี่ยนจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคที่จะลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งที่สถาบันทรงอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใตรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว

 ถึงตอนนี้มั่นใจมากว่า ถ้าพรรคก้าวไกลไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองทำให้สังคมเกิดความไว้วางใจว่าจะไม่ทำให้ประเทศไทยซึ่งมีความสุขสงบดีอยู่แล้วเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมก็ยากที่จะได้อำนาจรัฐ


ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น