“พิชัย” ชี้เศรษฐกิจแย่กว่าที่คาดการณ์ จี้ “แบงก์ชาติ” ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ธ.พาณิชย์ โดยลดช่องว่างเงินฝากเงินกู้ แนะ “ผู้ว่าการ ธปท.” ช่วยเร่งเพิ่มจีดีพี เหตุจะอยู่ครบเทอมแล้วแต่เศรษฐกิจไทยยังอยู่กับที่ ต้องรีบแก้ไข อย่าแก้ตัว
วันนี้ (29 ม.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 อยู่ที่ 1.4% ของกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ว่า จากตัวเลขดังกล่าว ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี 2566 อยู่ที่เพียง 1.8% ซึ่งนับว่าต่ำมาก ตรงกับที่ตนได้เตือนไว้แล้วว่าเศรษฐกิจปี 2566 จะขยายได้ไม่ถึง 2.4-2.5% ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน ทั้งที่ทั้ง 2 หน่วยงานลดการคาดการณ์จากเดิมที่ 3.6% ลงมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึง
“อยากให้ ธปท. และ สภาพัฒน์ฯ ได้คาดการณ์เศรษฐกิจตามความเป็นจริง เพราะที่ผ่านมาทุกปี การคาดการณ์ผิดพลาดอย่างมากมาโดยตลอด และการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ ก็จะไม่ดีเช่นกันถ้าหากไม่เร่งช่วยกันแก้ไขปัญหา และช่วยสนับสนุนแนวทางใหม่ๆ ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องเกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ตเท่านั้น แต่เกี่ยวกับทุกแนวทางที่สามารถทำได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาไปมากกว่านี้” นายพิชัย ระบุ
นายพิชัย กล่าวต่อว่า การที่ผู้ว่าฯ ธปท. ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ (รอยเตอร์) ว่า เศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต แต่ขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ จึงอยากจะถามว่าถ้าขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ไว้มากเป็นเวลานาน 10 ปีติดต่อกัน เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงหรือไม่ ถือเป็นวิกฤตในอีกรูปแบบหนึ่งใช่หรือไม่ และตั้งแต่ปี 2563 ที่ผู้ว่าการ ธปท. เข้ารับตำแหน่งจนจะครบเทอมในปลายปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแดนลบมาตลอดไม่ทราบว่า ผู้ว่าการ ธปท.ทราบหรือไม่ เพราะในปี 63 ที่ ผู้ว่าการ ธปท. เข้ารับตำแหน่ง เศรษฐกิจไทย ติดลบหนักที่ -6.1% โดย 3 ปีต่อมา แม้จะขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงที่ตกลงมา ปี 64 (ขยาย +1.6%), ปี 65 (ขยาย +2.6%), ปี 66 (ขยาย 1.8%) รวมกัน (1.6% +2.6%+1.8% = 6%)
“เท่ากับประเทศไทยอยู่กับที่หลังจาก 4 ปีแล้ว ซึ่งหากผมเป็นผู้ว่าการ ธปท. ผมจะต้องรู้สึกกังวล เดือดร้อน และผิดหวัง เพราะประเทศส่วนใหญ่ขยายตัวในปี 64 มากกว่าปี 63 ที่ตกลงมาแล้ว และปัจจุบัน บางประเทศยังขยายตัวเพิ่มขึ้นไปอีกถึง 15-20% ด้วยซ้ำ เช่น ประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 63 เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่า 20% แต่ไทยกลับยังอยู่กับที่ ถ้าหากท่านผู้ว่า ธปท. ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา ท่านผู้ว่า ธปท. ก็น่าจะมีปัญหาในวิธีคิดแล้ว อีกทั้งจากการสำรวจของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ พบว่า 93% ของประชาชนเห็นว่าเศรษฐกิจวิกฤต โดยมีผู้เข้าโหวตถึงกว่า 2.4 แสนคน ท่านผู้ว่า ธปท. คงต้องไปอธิบายให้คน 93% เหล่านี้เข้าใจว่าทำไมถึงไม่วิกฤต” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า การที่ผู้ว่าการ ธปท. สัมภาษณ์ว่าการที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากขึ้นต้องปรับโครงสร้าง ดังนั้นจึงอยากถามว่าท่านผู้ว่าฯ ได้ทำอะไรเพื่อเป็นการสนับสนุนการปรับโครงสร้างบ้าง ถ้านึกไม่ออก ตนจะขอเสนอแนวทางการพิจารณาโดยเริ่มต้นจากการลดดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ลง เพื่อให้ช่วงห่างระหว่างเงินกู้และเงินฝากลดลง เพื่อลดภาระของประชาชนและผู้ประกอบการ ทั้งนี้เข้าใจดีว่าดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับลงยังไม่ได้เพราะต้องคำนึงผลกระทบหลายทาง แต่การลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์โดยลดช่วงห่างของเงินกู้เงินฝากลง ธปท. สามารถบังคับทำได้ทันทีและควรต้องเร่งทำ ทั้งนี้ อาจทำผ่านคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) อย่าปล่อยให้รายได้ จีดีพี ที่เพิ่มขึ้นไปตกอยู่กับธนาคารพาณิชย์เกือบทั้งหมดเพราะกำไรของธนาคารพาณิชย์กว่า 2.2 แสนล้านบาทนั้นมากกว่า 1% ของจีดีพีแล้ว และต้องให้ธนาคารพาณิชย์กระจายการปล่อยกู้ให้เข้าถึงรายย่อยและ SMEs ด้วย โดยเฉพาะการช่วยเหลือ SMEs ที่ขาดสภาพคล่องแต่ธุรกิจยังมีอนาคตที่จะไปรอดได้
นอกจากนี้ในปี 2567 นี้ คาดกันว่าสภาพคล่องในระบบการเงินและการธนาคารจะเป็นปัญหา ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำลง จึงอยากถามว่า ธปท. ได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้อย่างไร อีกทั้ง พันธบัตรเงินกู้ ตราสารหนี้ และ หุ้นกู้ของหลายบริษัทกำลังจะมีปัญหาการชำระไถ่ถอน ธปท. เตรียมรับมืออย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ อยากให้ ธปท. กลับไปทบทวนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา การกำหนดนโยบายทางการเงิน การกำหนดอัตราดอกเบี้ย และ การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท. สนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยขนาดไหน และควรจะต้องปรับแก้อย่างไรเพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับโครงสร้างของประเทศให้สามารถแข่งขันได้ เหมือนที่แบงก์ชาติของหลายประเทศที่มีความสามารถแข่งขันสูงทำกัน
“อยากให้ท่านผู้ว่า ธปท. ได้มีโอกาสสัมผัสปัญหาของประชาชนที่รายได้ไม่เพิ่ม แต่รายจ่ายเพิ่ม หนี้สินเพิ่ม อีกทั้งหลายคนต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดที่รัฐบาลต้องโดดลงมาช่วยแก้ไขนี้ อย่าให้ประชาชนตำหนิได้ว่าท่านผู้ว่า ธปท. รับรายได้ถึงปีละกว่า 20 ล้านบาท จึงไม่รู้ว่าประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ผู้ใช้แรงงาน และ เกษตรกร มีความทุกข์ และความลำบากกันอย่างไร ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ท่านผู้ว่า ธปท. เร่งแก้ไข และ เลิกแก้ตัวได้แล้ว โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าในเวลาที่เหลือในตำแหน่งนี้ ท่านผู้ว่า ธปท. จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เท่าไหร่ เพราะจะเป็นประวัติศาสตร์การทำงานของท่านผู้ว่า ธปท. เองไปชั่วชีวิต ท่านผู้ว่า ธปท. คงไม่อยากให้มีประวัติการทำงานว่าบริหารนโยบายการเงินมาตลอด 4 ปี แต่กลับทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่กับที่ ไม่ได้มีการเจริญเติบโตเลย จะเป็นเรื่องที่น่าละอายหรือไม่” นายพิชัย ระบุ