xs
xsm
sm
md
lg

ภูมิใจไทยไม่น่ารอดยุบพรรค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



พรรคภูมิใจไทยแม้จะเป็นพรรคที่มีคณะกรรมการบริหารตามกฎหมายมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรคก็ตาม แต่เบื้องหลังคนที่มีอำนาจจริงๆ ในพรรคก็รู้กันดีว่า คือนายเนวิน ชิดชอบ การอยู่หลังฉากบงการพรรคของนายเนวินก็คือ การไม่ถูกตรวจสอบใดๆ ตามกฎหมายของผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เป็นที่รับรู้กันโดยเปิดเผยว่า นายเนวินเป็นผู้กำหนดเกมการเมืองของพรรคภูมิใจไทย แม้นายเนวินจะไม่ได้เล่นการเมืองด้วยตัวเอง แต่ในฐานะเจ้าของพรรคทางพฤตินัยก็สามารถกำหนดบทบาทของคนในพรรคได้ว่าใครจะมีตำแหน่งอะไรทั้งในพรรคและการเข้าร่วมรัฐบาล นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายของนายเนวินจึงถูกวางไว้ในตำแหน่งเลขาธิการของพรรค

การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้นายศักดิ์สยาม พ้นจากตำแหน่ง จากกรณียังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรีมาตรา 4(1) นั้น จึงเห็นถึงร่องรอยการทำงานทางการเมืองของตระกูลชิดชอบได้เป็นอย่างดี

จากคำวินิจฉัยของศาลชัดเจนว่า นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ผู้ถือหุ้นบริษัท บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น แท้จริงแล้วคือ นอมินีของนายศักดิ์สยามนั้น แม้ศาลจะวินิจฉัยให้นายศักดิ์สยามพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่า วิบากกรรมของนายศักดิ์สยามและพรรคภูมิใจไทยจะไม่จบลงแค่นั้น

เพราะเรื่องไม่ได้จบแค่ความเป็นนอมินีระหว่างนายศุภวัฒน์และนายศักดิ์สยามเท่านั้น แต่มาถึงเรื่องที่นายศุภวัฒน์บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทยด้วย

เพราะตอนหนึ่งศาลได้บรรยายว่า ข้อเท็จจริงถึงการบริจาคเงินของนายศุภวัฒน์ให้กับพรรคภูมิใจไทยในระหว่างที่ผู้ถูกร้องเป็นเลขาธิการพรรคจากเอกสารของพรรคภูมิใจไทยปรากฏว่า นายศุภวัฒน์บริจาคเงินหรือทรัพย์สินประโยชน์อื่นให้พรรคในนามส่วนตัวมูลค่า 2,270,000 บาทและในปี 62 บริจาคในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ เงิน 4,800,000 บาทและจำนวน 6,000,000 ในปี 65 ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังผู้ถูกร้องโอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์ในปี 61 แล้วไม่ปรากฏว่าช่วงเวลาก่อนโอนหุ้นนายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ เคยบริจาคเงินทรัพย์สินให้แก่พรรคภูมิใจไทยหรือมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใดๆ กับพรรคมาก่อนประกอบกับที่นายศุภวัฒน์เบิกความว่าก่อนที่ตนจะได้รับโอนหุ้นตนไม่เคยบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทยกรณีมีข้อพิรุธสงสัยว่านายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทย แต่ช่วงเวลาที่ผู้ถูกร้องโอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์แล้ว นายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ กลับบริจาคเงินและทรัพย์สินให้กับพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องเป็นเลขาฯ พรรค

ดังนั้น เงินที่นายศุภวัฒน์บริจาคให้พรรคภูมิใจไทยก็คือเงินของนายศักดิ์สยามนั่นเอง เมื่อศาลวินิจฉัยออกมาอย่างนี้แล้วเท่ากับว่าเงินที่พรรคภูมิใจไทยได้รับบริจาคมาจากนายศุภวัฒน์ จึงเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 72 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ระบุไว้ว่าห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ขณะที่มาตรา 126 อยู่ในหมวดบทกำหนดโทษระบุว่าผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 72 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น

กรณีของพรรคภูมิใจไทยจึงไม่ต่างกับพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลมีมติให้ยุบพรรคตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในกรณีกู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 191.2 ล้านบาท

ในคำวินิจฉัยระบุว่าการกู้เงินของพรรคอนาคตใหม่รวม 191.2 ล้านบาทมีอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้าถือเป็นการให้ผลประโยชน์อื่นใดที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้เมื่อรวมกับเงินบริจาคที่นายธนาธรบริจาคไปแล้ว 8.5 ล้านบาท

ย่อมชัดแจ้งว่าเป็นกรณีการรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อปีซึ่งต้องห้ามตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 66 วรรคสองการกู้ยืมเงินของพรรคอนาคตใหม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการรับบริจาคเงินตามมาตรา 66 จึงเป็นการรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรค

ดังนั้นเมื่อศาลวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว กกต.ต้องยื่นคำร้องจากกรณีพรรคภูมิใจไทยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบ

โดยในกรณีนี้เมื่อ 17 มีนาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ยุบพรรคภูมิใจไทยโดยอ้างเหตุว่านายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ มีพฤติการณ์เป็นนอมินีถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นแทนนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม

ดังนั้นวิบากกรรมของพรรคภูมิใจไทยยังไม่จบ เช่นเดียวกับนายศักดิ์สยามหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยคะแนนเป็นเสียงข้างมากวินิจฉัยให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีแล้วก็อาจเข้าข่ายการแสดงรายการทรัพย์สินหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ด้วยหรือไม่

โดยในการยื่นรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายศักดิ์สยามต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. เมื่อปี 2562 ระบุว่านายศักดิ์สยามมีทรัพย์สินร่วม 115 ล้านบาทมีเงินสดและเงินฝากประมาณ 76.3 ล้านบาทไม่มีหนี้สินซึ่งเมื่อดูในรายละเอียดมีการตั้งข้อสังเกตว่าเงินจากการโอนหุ้นบริษัทดังกล่าวข้างต้นหลายร้อยล้านบาทซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่นายศักดิ์สยามจะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.หรือไม่

นอกจากนั้น พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ได้กำหนด ‘ข้อห้าม’ มิให้รัฐมนตรีกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารครอบงำหรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นหรือการจัดหาผลประโยชน์ในหุ้นส่วนหรือหุ้นต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 1 แสนบาทถึง 1 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ซึ่งพบว่าระหว่างที่นายศักดิ์สยาม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม บริษัท บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นได้งานจากหน่วยงานของรัฐในช่วงปี 2563-2564 อย่างน้อย 1.1 พันล้านบาท ซึ่งเท่ากับนายศักดิ์สยามเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐเสียเอง เข้าข่ายความผิดขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

ดังนั้นชะตากรรมของนายศักดิ์สยามนอกจากมีโอกาสที่จะติดคุกแล้ว พรรคภูมิใจไทยก็มีโอกาสที่จะถูกยุบพรรคด้วย
 
 ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan 
 


กำลังโหลดความคิดเห็น