xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศไม่ใช่ของนักการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ผมสังเกตว่าหลังจากผ่านมาเกือบสองทศวรรษแห่งความขัดแย้งในสังคมมา ปัจจุบันคนจำนวนมากเริ่มเบื่อหน่ายทางการเมือง ไม่สนใจว่าสภาพบ้านเมืองจะเป็นไปอย่างไร ทั้งเกิดจากความเบื่อหน่ายการชุมนุมทางการเมือง ทั้งคนที่ประสบพบว่าผลพวงในการต่อสู้นั้นไม่ประสบผลสำเร็จอะไร กระทั่งหลายคนมีคดีติดตัว หรือกระทั่งเห็นว่า คนที่ต้องเดือดร้อนกว่าเขายังไม่เดือดร้อนเลย เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็ถอยออกมาดีกว่า

คนที่ตั้งหน้าตั้งตามุ่งหน้าทำมาหากินไม่สนใจว่าสภาพบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ใครจะเข้ามามีอำนาจทางการเมือง อยากให้บ้านเมืองสงบเพื่อสามารถทำมาค้าขายได้ก็รู้สึกพอใจกับบรรยากาศแบบนี้

เมื่อสังคมส่วนใหญ่เพิกเฉยกับความเป็นไปของบ้านเมือง ทำให้คนที่ยังกระตือรือร้นทางการเมืองถูกมองเป็นส่วนเกินของสังคม กลายเป็นคนที่สร้างความวุ่นวาย แต่คนที่นิ่งเฉยหารู้ไหมว่า การไม่สนใจต่อความเป็นไปของบ้านเมืองนั้นทำให้นักการเมืองส่วนหนึ่งใช้เป็นโอกาสในการแสวงหาประโยชน์จากอำนาจ เพราะคนที่จะต่อต้านขัดขวางไม่มีพลังมากพอที่จะปลุกมวลชนออกมาต่อต้านได้

ผมคิดว่าบ้านเมืองทุกวันนี้กำลังกลายเป็นแบบนี้ สีเสื้อทางการเมืองนอกจากแตกสลายลงไปเพราะการจับมือกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมจัดตั้งรัฐบาลแล้ว แกนนำทั้งสองฝ่ายต่างถูกพันธนาการด้วยคดีความและถูกจำคุกมาแล้ว

สำหรับฝ่ายอนุรักษนิยมแล้วอาจจะเป็นเรื่องดีที่คนรุ่นใหม่ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมออกมาเดินถนนเมื่อ 2-3 ปีก่อนเงียบหายไปเพราะถูกผูกมัดด้วยคดีความเช่นเดียวกัน และปลายทางของพวกเขาคือการสูญสิ้นอิสรภาพ

แต่ความนิ่งเฉยทางการเมืองของคนในสังคมส่วนใหญ่นี่เองทำให้ทักษิณลอยนวลอยู่บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ เพราะคนที่ออกมาต่อต้านไม่มีพลังมวลชนที่มากพอ แม้จะมีคนออกมาต่อสู้แบบไม่ถอยและไม่ท้อไม่ว่าจะมีมวลชนมากแค่ไหนก็ตาม ไม่มีใครสนใจว่านี่คือการทำลายความยุติธรรมของบ้านเมืองลงไป

ดังนั้นเมื่อมีคนมาถามว่ารัฐบาลเศรษฐาจะอยู่ได้นานไหม ผมก็จะบอกว่า ถ้าดูจากมือในสภาฯ ก็สามารถอยู่ได้นาน แต่อายุของรัฐบาลเศรษฐาไม่ได้อยู่ที่มือในสภาฯ แต่อยู่ที่การตัดสินใจของทักษิณมากกว่า อีกไม่กี่วันทักษิณก็คงได้พักโทษแล้ว เมื่อนั้นบทบาททางการเมืองของเขาจะเด่นชัดขึ้น ไม่มีทางที่เขาจะนิ่งเฉยเหมือนตอนอยู่เมืองนอกว่าอยากจะกลับมาเลี้ยงหลานอย่างแน่นอน ที่สำคัญเป้าหมายของทักษิณคือ การผลักดันให้ลูกสาวได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ถ้าทักษิณอ่านทิศทางการเมืองว่า เลือกตั้งครั้งหน้าคงยากที่จะต้านทานความแรงของพรรคก้าวไกล ทักษิณก็อาจจะดันลูกสาวให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียแต่สมัยนี้ เมื่อนั้นเศรษฐาก็ต้องโบกมือลาไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปบิดพลิ้วและต่อรองเพื่อรักษาเก้าอี้ของตัวเอง

เราจะเห็นว่า วันนี้เศรษฐาแทบจะไม่ได้ประจำการในทำเนียบรัฐบาลเลย เขาไม่ไปต่างจังหวัดก็เดินสายไปต่างประเทศเป็นว่าเล่น อย่างดาวอส เวิลด์ อิโนโคมิก ฟอรั่ม จำเป็นต้องไปไหม จริงแล้วไม่ไปก็ได้หลายประเทศก็ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไป แต่สำหรับเศรษฐาดูเหมือนเขาจะชอบกับบทบาทนี้ เหมือนกับที่เขาบอกว่าเขาเป็นพ่อค้าจะเป็นเซลส์แมนของประเทศ เดี๋ยวไปต่างจังหวัดเดี๋ยวไปต่างประเทศ อำนาจในทำเนียบส่วนใหญ่จึงอยู่ในมือของภูมิธรรม เวชยชัย คนที่ทักษิณไว้วางใจ

แม้ว่าพลังของมวลชนจะอ่อนแอลง แต่ว่าไปแล้วพลังในสังคมหรือพลังของมวลชนก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกสถาบันในสังคมไทยต้องการอีกแล้ว มองกันว่าการรับมือกับความท้าทายเฉพาะหน้าของสังคมไทยก็คือ การจับมือกับทักษิณซึ่งสามารถต้านทานพรรคก้าวไกลให้ไปเป็นฝ่ายค้านได้สำเร็จ และเชื่อมั่นว่าพันธมิตรทางการเมืองที่จับมือกันตั้งรัฐบาลในขณะนี้นั้นสามารถรับมือกับพรรคก้าวไกลไปได้อีกระยะหนึ่ง แล้วจะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงไปในที่สุด

ซึ่งหากถามว่าความคาดหวังนั้นจะเป็นจริงหรือ ก็คงต้องบอกว่าเป็นความย่ามใจอยู่ไม่น้อย เพราะดูเหมือนว่านับวันเสียงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจะยิ่งดังขึ้น และกาลเวลาก็กลายเป็นปิศาจที่ตามหลอกหลอนความคิดเก่าที่แม้เราจะแข็งขืนเอาไว้ก็ยากที่จะหยุดยั้งได้

ถ้าถามทุกท่านว่า กาลเวลาจะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงหรือกาลเวลาจะยิ่งทำให้พรรคก้าวไกลยิ่งเข้มแข็ง ลองถามใจตัวเองดูว่าจะเป็นแบบไหน

ความจริงแล้วการที่เราจะรักษาโครงสร้างของสังคมเอาไว้เพื่อตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเงื่อนไขของกาลเวลาแล้ว เราต้องทำให้คนส่วนใหญ่มองเห็นว่าโครงสร้างของสังคมเดิมนั้นยังทรงคุณค่าและสอดคล้องกับสังคมไทยที่จะทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืนได้ ขณะเดียวกันโครงสร้างและอำนาจเก่าก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการและบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

นั่นคือต้องทำให้คนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาตระหนักว่าพวกเขาสามารถเติบโตแข่งขันและมีที่ยืนอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างมั่นคง ด้วยการทำให้พวกเขาเชื่อว่าการรักษาบรรทัดฐานสถาบันทางสังคม จารีตประเพณี วัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของชาติที่เป็นอยู่จะเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศได้ แต่จะทำอย่างนั้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนรุ่นใหม่ได้ ทุกอำนาจในสังคมไทยปัจจุบันต้องแก้ไขและปรับปรุงตัวเองอย่างน้อยก็ต้องทำให้ไม่เห็นว่าโครงสร้างและทุกส่วนของสังคมนี้ถูกกำหนดด้วยแนวคิดแบบอำนาจนิยมคือต้องทำให้เห็นว่าทุกคนมีส่วนกับประเทศนี้ไม่ใช่อยู่ในมือของคนเพียงบางกลุ่ม

ต้องทำให้เห็นว่าอำนาจทางการเมืองของไทยนั้นมีการตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีอำนาจที่ซ่อนตัวอยู่คอยควบคุมกำกับอย่าใช้อำนาจเพื่อป้องกันการตรวจสอบและถ่วงดุลของสังคมทำให้เห็นการเมืองที่โปร่งใส มีองค์กรที่ตรวจสอบอำนาจกันตามระดับชั้นที่คานอำนาจกันเพื่อไม่ให้อำนาจถูกใช้อย่างฉ้อฉล และทำให้สังคมเชื่อมั่นในหลักนิติธรรมของประเทศว่าทุกคนจะตั้งอยู่บนกระบวนการยุติธรรมเดียวกัน

แต่จะทำอย่างที่ว่ามาได้ทุกพลังในสังคมต้องไม่ท้อถอยหรือนิ่งดูดายปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรมและอยู่ในการตัดสินของคนเพียงบางกลุ่ม ต้องแสดงให้คนที่มีอำนาจว่าแท้จริงแล้วอำนาจนั้นเป็นของประชาชน และจะทำอะไรต้องเกรงใจประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ

ต้องถามเราว่าวันนี้คนที่มีอำนาจอยู่ในมือย่ามใจเกินไปหรือไม่ว่า พวกเขาจะนำพาประเทศไปอย่างใดก็ได้จะปกครองประเทศอย่างไรก็ได้ จะทำลายความยุติธรรมในสังคมอย่างไรก็ได้ เพราะทุกคนเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมายาวนานเกือบสองทศวรรษ ถ้าไม่มีพลังของสังคมถ่วงดุลอำนาจปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของคนไม่กี่คน คิดหรือว่าเราจะอยู่สุขสบายและทำมาหากินเลี้ยงชีพในประเทศนี้ได้อย่างมั่นคง

ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหน เป็นคนกลุ่มไหน มีอาชีพอะไร แต่สิ่งสำคัญจะต้องตระหนักว่าเราทุกคนเป็นหุ้นส่วนของประเทศนี้ไม่ใช่ปล่อยประเทศให้อยู่ในมือของนักการเมืองไม่กี่คน
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan



กำลังโหลดความคิดเห็น