"โสภณ องค์การณ์"
อาคารโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 สำหรับผู้ป่วยวีไอพีกลายเป็นเขตต้องห้ามสำหรับผู้แทนราษฎรซึ่งต้องการไปตรวจสอบดูว่านักโทษชายเด็ดขาดจากดูไบ ป่วยจริงและอยู่ในห้องจริงหรือไม่
โรงพยาบาลตำรวจออกคำสั่งห้ามคณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบ อ้างว่าจะเป็นการละเมิดคนไข้พิเศษ และอ้างว่าพร้อมจะตอบทุกคำถาม
จะตอบคำถามจริงหรือไม่อยู่ที่ว่าใครถาม ถามว่าอะไร คำถามจะเจาะลึกลึกซึ้งแค่ไหน และผู้รับผิดชอบโรงพยาบาลตำรวจจะมีคำตอบให้ทุกคำถามหรือไม่
ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าตอบคำถาม แม้แต่แถลงการณ์ยาวเหยียดของกรมราชทัณฑ์อ้างนั่นนี่โน่นสารพัดก็ไม่มีใครลงนามว่าเป็นผู้แถลง
นักโทษชายเด็ดขาดจากดูไบออกจากกรมราชทัณฑ์กลางดึกของวันแรกที่เข้าคุก จากนั้นก็มีคนเห็นนอนบนเตียงถูกเข็นบนฟุตบาทในโรงพยาบาลตำรวจครั้งเดียว ไม่เคยมีคำแถลงชัดเจนว่าทำไมโรงพยาบาลตำรวจถึงไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของนักโทษชายเด็ดขาดให้หายขาดได้ ซึ่งอ้างว่ามีหลายโรคทั้งที่วันที่กลับจากต่างประเทศดูเป็นคนมีร่างกายสมบูรณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส
ลีลาต่างๆ และเรื่องราวที่อธิบายเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของนักโทษชายเด็ดขาดจากดูไบกลายเป็นเรื่องที่ชาวบ้านหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก
เป็นพฤติกรรมลึกลับดำมืดเหมือนกับว่าทุกองค์กรต่างๆ พยายามปกปิดข้อมูลทุกอย่างอ้างสิทธิผู้ป่วยทั้งที่เป็นนักโทษชายเด็ดขาดไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีคดีอาญาหรือเป็นนักโทษถูกจองจำ
ล่าสุดทั้งกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ และหน่วยงานอื่นๆ ถูกสังคมมองว่าพยายามที่จะปกป้องคุ้มครองนักโทษชายเด็ดขาดยิ่งกว่าไม่ให้มดไต่ไรตอม เป็นบุคคลที่ใครไม่กล้าล่วงเกิน
คณะรัฐมนตรีทั้งชุด หน่วยงานของรัฐทุกแห่งอยู่ในสภาพเหมือนน้ำท่วมปากไม่สามารถอธิบายได้ หัวหน้ารัฐบาลไม่แสดงให้เห็นว่าสนใจกับเรื่องที่ประชาชนอยากรู้เห็น
ทำให้มีข้อสรุปว่าผลสุดท้ายทุกวันนี้ประเทศไทยนอกจากจะก้าวข้ามเรื่อง “ ทักษิณ” ไม่พ้นแล้วยังถูกมองว่าทุกองค์กรของประเทศนี้อยู่ภายใต้ตีนนักโทษชายเด็ดขาดด้วยซ้ำ
กฎหมายต่างๆ แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญไร้ความหมาย ประชาชนที่ห่วงใยบ้านเมืองมองว่าระบบนิติรัฐนิติธรรมเสื่อมจนไม่เหลือความน่าเชื่อถือ
ซ้ำร้ายยังมีคนมองไปไกลอีกว่าการที่นักโทษชายเด็ดขาดไม่ยอมติดคุก แม้แต่วันเดียวหลังจากได้รับพระราชทานอภัยลดโทษลดระยะเวลาจำคุกจากแปดปีเหลือเพียงหนึ่งปีนั้น เป็นการหลู่พระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์
และองค์กรต่างๆ ที่ควรจะรับผิดชอบไม่สนใจว่าพฤติกรรมเยี่ยงนี้ไม่ควรเกิดขึ้น และไม่ควรที่จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดยอมให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้
นักโทษชายเด็ดขาดรายเดียวมีอำนาจเด็ดขาดเหนือราชอาณาจักรไทยและกลไกกระบวนการทางกฎหมายทุกอย่าง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองต่างยอมรับรับสภาพของความเสื่อม
ยังจะมีอะไรที่น่าอัปยศอดสูเยี่ยงเรื่องของนักโทษชายเด็ดขาดจากดูไบหรือ
ประชาชนทั่วไปที่ไร้เอกสิทธิ์หรือสิทธิขั้นพื้นฐานจะไปหวังอะไรได้ว่าระบบนิติรัฐนิติธรรมจะยังคงเป็นหลักน่าเชื่อถือของประเทศนี้
ประเด็นอาการเจ็บป่วยของนักโทษชายเด็ดขาดซึ่งยาวนานกว่า 120 วันทำให้คนสงสัยว่าถ้าเป็นจริงคงเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องให้อาหารทางสายยาง ต้องให้ออกซิเจน และหมดโอกาสที่จะฟื้นฟู
ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่พ่อต้องการเป็นทายาททางการเมือง ปั่นเรื่องซอฟต์พาวเวอร์สร้างราคาทุกวันได้เคยบอกผู้สื่อข่าวหลายสัปดาห์ก่อนว่าคุณพ่ออยู่ในระยะพักฟื้น ทว่า ก็ไม่มีนายแพทย์คนไหนออกมาชี้แจงว่าอาการป่วยหรือสภาวะการพักฟื้นจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่ชาวบ้านทั่วไปที่ติดตามข่าวการเมืองรู้ว่าอาการหายเด็ดขาดจะเกิดขึ้นเมื่อนักโทษชายเด็ดขาดเป็นอิสระ
ช่างเป็นสภาวะที่น่าสมเพชเวทนาของประเทศไทยเสียนี่กระไร แผ่นดินนี้มีประชากร 70 ล้านคน แต่มีเพียงไม่กี่คนออกมาส่งเสียงตั้งข้อสงสัยและคำถาม
แล้วประชาชนที่เหลือเป็นอะไรกันไปหมด หรือว่ามีแนวคิดอย่างที่คนมักพูดกันว่า “บ้านเมืองไม่ใช่ของกูคนเดียว ใครจะทำอะไรก็ช่างหัวมัน”
แต่ก็นั่นแหละ ประเทศนี้มักจะมีอะไรเกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย สิ่งที่เห็นดูสงบเงียบอย่างนี้อาจจะเป็นสภาวะไฟสุมขอน หรือคลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว
แน่นอนประชาชนทั่วไปเป็นห่วงเรื่องปัญหาปากท้องชีวิตความเป็นอยู่ ความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจและความอยู่รอดเมื่อเห็นรัฐบาลนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเครือข่ายนักโทษชายเด็ดขาด
การจะออกชุมนุมเดินขบวนประท้วงปักหลักพักค้างก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าผลที่ตามมาคือคดีอาญา โทษจำคุก ถูกยึดทรัพย์สิน เพราะการอยู่ตรงข้ามกับอำนาจรัฐไม่ใช่เป็นเรื่องที่เอาชนะได้ง่าย
ประเทศไทยคงก้าวข้ามไม่พ้นเรื่องของ “ทักษิณ” อย่างที่ว่าหรือต้องรอดูว่าอารมณ์ของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ห่วงใยบ้านเมืองจะแรงพอที่จะจัดการปัญหานี้หรือไม่
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เหมือนกับการหมุนเข็มนาฬิกากลับไปสู่ช่วงการเริ่มต้นของการมีอำนาจของทักษิณ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา และถ้าซ้ำรอยเดิม แสดงว่าประเทศไทยติดอยู่ในวังวนกับดักของการเมืองไร้คุณธรรมและจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี
จะมีทางออกเพื่อสู่เส้นทางที่ดีกว่าหรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจและความกล้าหาญของประชาชนที่ห่วงใยบ้านเมือง นั่นคือประชาชนที่ไม่ยอมเรียกตัวเองว่าเป็น “ขี้ข้า” ของใคร ไม่ว่าจะมีอำนาจแค่ไหน
หรือ “ระบอบขี้ข้า” อยู่เหนือระบอบการเมืองอื่นใดในประเทศแล้ว