หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ถ้าถามว่า ทำไมการเคลื่อนไหวบนท้องถนนของคนรุ่นใหม่จึงเงียบหายไป คำตอบก็น่าจะเป็นเพราะส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 แม้ในปัจจุบันศาลจะพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม มีหลายคดีที่ศาลยกฟ้อง มีคดีที่รอลงอาญา แค่คดีของตัวหลักๆ ถ้าหากเราได้ฟังได้รู้ข้อกล่าวหาที่พวกเขาโดนดำเนินคดีแล้วต้องบอกว่า รอดยาก
เพราะส่วนใหญ่ต้องที่ออกมาบนท้องถนน และกระแสกำลังเชี่ยวกราก พวกเขาล้วนแล้วแต่กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคายและเป็นเท็จจนยากที่จะต่อสู้ให้รอดพ้นจากความผิดได้ ตอนนี้ทางเดียวที่พวกเขาคาดหวังก็คือ การได้รับนิรโทษกรรมที่พรรคก้าวไกลกำลังพยายามอยู่ แต่เป็นไปได้ยาก เพราะเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยหากนิรโทษกรรมแล้วพ่วงคดี 112 มาด้วย
แต่ถามว่า การต่อสู้เพื่อเรียกร้องไปสู่เป้าหมายอุดมการณ์ของพวกเขาสิ้นสุดลงหรือไม่ ก็คงต้องบอกว่าไม่ แล้วพวกเขายังเชื่อมั่นว่า สุดท้ายแล้วพวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะด้วยปัจจัยสำคัญคือ กาลเวลา แม้จะถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 แล้วถูกจองจำก็ไม่ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง
แน่นอนว่า เวลาอยู่ข้างพวกเขา ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งรับปรับตัวและสร้างแนวร่วมของฝ่ายอนุรักษนิยมในคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้ ก็จะถูกความคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม รูปแบบและระบอบของรัฐที่ปลุกปั่นโดยพรรคก้าวไกลครอบงำไปเสียหมด
เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็มีความพยายามปลุกผีปรีดีขึ้นมาหลอกหลอนสังคมไทย คนกลุ่มหนึ่ง ต้องการให้จดหมายปรีดีที่คิดว่ามีอยู่จริง ส่งผลสะเทือนต่อสังคม ส่งผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ เพราะพวกเขาไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์และต้องลดทอน บทบาท และสถานะลงมา หวังจะใช้ปรีดีเป็นเครื่องมือในการบั่นทอน
พวกเขาต้องการให้สังคมไทยปั่นป่วน เพราะรู้ว่า ถ้าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังเป็นจริงจะเกิดความขัดแย้งในสังคมไทยอย่างรุนแรง เมื่อนั้นวิกฤตก็จะตามมา เข้าทางพวกเขาว่านั่นจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ
โชคดีพวกเขาไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ เพราะเอกสารที่เปิดออกมานั้น เป็นเพียงเอกสารการทูตปกติ ความหวังและความพยายามที่จะให้เนื้อหาในเอกสารนั้นมาสร้างปรากฎการณ์ให้เกิดขึ้นในสังคมจึงเป็นหมันไม่สามารถไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้
แต่ด้วยเวลาที่ว่ามาอยู่ข้างพวกเขา จากชัยชนะของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ก็ทำให้ประกายแห่งความหวังของพวกเขายังมีอยู่และหวังว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคก้าวไกลจะชนะถล่มทลายยิ่งกว่านี้อีก เพราะปัจจัยความล้มเหลวจากการบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ข้างอนุรักษนิยมที่จะบั่นทอนพลังของพรรคเพื่อไทยลงมาและจะหันไปสนับสนุนพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น
และแม้ว่าหากเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลถึงชนะแต่ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะได้เสียงไม่ถึงครึ่งแล้วไม่มีพรรคการเมืองไหนร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย พวกเขาก็หวังว่าครั้งต่อไปก็จะยิ่งชนะเพิ่มขึ้นจนได้เสียงเกินครึ่งอยู่ดี พูดกันว่า พรรคก้าวไกลคือปีศาจแห่งความเปลี่ยนแปลงที่สังคมไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ก็ต้องยอมรับว่ามีความเป็นไปได้มาก เพราะยิ่งพรรคการเมืองฝ่ายที่ถือครองอำนาจรัฐไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองยังเล่นการเมืองแบบเก่าและยึดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ก็ยิ่งเปลี่ยนศรัทธาของคนจำนวนมากให้หันไปคาดหวังกับพรรคก้าวไกลมากขึ้น ยิ่งการแสดงบทบาททางการเมืองของพรรคก้าวไกลในฐานะฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะเปลี่ยนใจคนในสังคมได้มาก
แม้ว่าการบริหารบ้านเมืองจะต้องใช้ความรู้และประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่คนของพรรคก้าวไกลส่วนใหญ่แทบจะไม่มีประวัติการทำงานที่พิสูจน์ผลงานได้มาเลย นอกจากความรู้ที่เรียนมาในทางทฤษฎี แต่ถ้าฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐสร้างความผิดหวังให้มาก คนหลายคนก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้พรรคก้าวไกลเข้ามาบริหารประเทศ
อาจจะมีคนไม่น้อยที่หวาดกลัวว่าหากพรรคก้าวไกลสามารถเข้ามีอำนาจรัฐได้ในวันใดวันหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานะของสถาบันกษัตริย์ เพราะชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลสนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 ในปัจจุบันแล้วเขียนมาตราใหม่ให้พระมหากษัตริย์ได้รับความคุ้มครองที่ลดลงและสำนักพระราชวังจะต้องไปฟ้องร้องดำเนินคดีเอาเอง หากเข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย ซึ่งจะทำให้พระมหากษัตริย์กลายมาเป็นคู่กรณีของกับประชาชนโดยตรง ก็มีคนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับความคิดนี้
จากผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเห็นชัดว่า คนชั้นกลางในเขตเมืองส่วนใหญ่รวมถึงพื้นที่กรุงเทพมหานครล้วนแล้วแต่เทใจให้พรรคก้าวไกลทั้งสิ้น ผลคะแนนไม่ได้บอกว่ามาจากเสียงของคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่คนรุ่นเก่าจำนวนไม่น้อยก็เห็นด้วยกับพรรคก้าวไกล พวกเขาจึงมั่นใจว่าวันข้างหน้าจะเป็นชัยชนะของพรรคก้าวไกลที่จะมาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยไปให้ไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน
อำนาจเก่าที่หมายถึงโครงสร้างเดิมของสังคมและแนวคิดอนุรักษนิยมที่เคยเป็นเกราะคุ้มครองโครงสร้างและระบอบของรัฐ กำลังถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความคิดที่ท้าทายจากคนรุ่นใหม่แม้เราจะไม่เคยเห็นผลงานของพวกเขาว่าจะมีความรู้ความสามารถที่จะนำพาประเทศไปได้แค่ไหน แต่บทบาทในสภาในสถานะพรรคฝ่ายค้านก็ทำให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ
ที่สำคัญอำนาจเก่า โครงสร้างแบบเก่า การแสวงหาประโยชน์จากอำนาจของการเมืองของนักการเมืองรุ่นเก่ายังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เห็นว่าสังคมยังมีความหวังที่จะนำพาสังคมไปในทางที่ดีได้ ไม่สามารถทำความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมได้ ไม่สามารถลดความเป็นอภิสิทธิชนและความไม่เท่าเทียมลงได้ สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นเชื้อปุ๋ยให้พรรคก้าวไกลเติบโตขึ้น
ก็ต้องจับตาดูว่า การผนึกกำลังกันระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับระบอบทักษิณ เพื่อตั้งรับกับพรรคก้าวไกลนั้นจะยืดเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงออกไปได้หรือว่าจะยิ่งเร่งรัดวันเวลาให้เร็วขึ้น เมื่อเราเห็นได้ว่าระบอบทักษิณก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในวันที่มีอำนาจ ยิ่งทำลายความหวังของสังคมและทำลายความเชื่อมั่นของระบบยุติธรรมลงเมื่อถึงวันนี้ทักษิณยังไม่ติดคุกจริงๆแม้แต่วันเดียว และทุกองค์กรและทุกโครงสร้างในสังคมยินยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้คนจำนวนมากหมดหวังกับระบอบที่เป็นอยู่และโหยหาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
เราไม่รู้แหละว่าในวันที่พรรคก้าวไกลขึ้นมามีอำนาจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์หรือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจที่จะพ้นโทษทางการเมืองอีกไม่นานคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เขาอาจจะบริหารประเทศให้ดีขึ้นมาจากที่เป็นอยู่ในด้านบวกหรือเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในด้านลบ ความรู้ความสามารถจะตัดสินพวกเขา ถ้ามันจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าทุกอย่างเลวร้ายวันเวลาก็ไม่อาจหวนคืนมาได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความคิดในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเขาซึ่งสิ่งที่จะถามมาก็คือ ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมไทย และความรุนแรงไม่ว่าสุดท้ายและฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะก็ตาม
วันนี้ฝ่ายต่อต้านระบอบเก่าและต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไม่ใช่สูญสิ้นพลังไป แต่พวกเรารอคอยชัยชนะ วันนี้นักวิชาการและปัญญาชนที่เป็นฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมสามารถครอบงำความคิดของคนรุ่นใหม่ และคืบคลานแนวคิดเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนชั้นกลางมากขึ้น แนวร่วมของพวกเขามากขึ้น คนจำนวนมากผิดหวังกับการเมืองเก่าและหันไปสมาทานความคิดกับพรรคก้าวไกลเพราะมองว่า พวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ ถึงเวลาที่จะให้คนรุ่นใหม่เข้ามารับผิดชอบบ้านเมืองดีกว่าปล่อยให้คนรุ่นเก่ามีอำนาจเพราะไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ดังนั้นแม้การชุมนุมบนท้องถนนจะเงียบหายไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้เป้าหมายและอุดมการณ์ของคนเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่พวกเขารอคอยโอกาสและชัยชนะที่จะมาถึงในเวลาอันไม่นาน และรอคอยเพื่อนร่วมอุดมการณ์ก่อเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่รุกเดินไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่งตราบเท่าที่โลกยังไม่ล่มสลาย
เชื่อว่าฝ่ายอำนาจรัฐและอำนาจเก่าต่างก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าจะตั้งรับกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอย่างไร
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan