xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกัน...เจ๊งแน่!!! 100 บาทกับอุจจาระสุนัขกองเดียว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โจ ไบเดน
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องลองเริ่มต้นด้วยการขออนุญาตหันไปสำรวจ ตรวจสอบ “ราคาทองคำ” ไว้สักเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งก็คงไม่ใช่เป็นเพราะหวังจะได้ “เก็งกำไร” จากการซื้อทอง-ขายทอง แบบประเภทพวก “แมงเม่า” ทั้งหลายในบ้านเรา หรือบ้านเขาก็ตามที แต่อาจเป็นเพราะเหตุที่การขึ้นๆ-ลงๆ ของมูลค่า ราคา ตัวสินค้าที่ว่านี้ มันอาจถือเป็นภาพสะท้อน หรือถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ให้เห็นถึงความเป็นไปของโลก ว่ามันจะลงเหว จะลงนรก-ขึ้นสวรรค์กันในแบบไหน ช่วงไหน ได้ตามสมควร...

คือคงต้องยอมรับว่า...ถ้าดูจากราคาทองแท่งในระดับโลก ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว หรือตั้งแต่เดือนมกราคมปี ค.ศ. 2023 ที่มีมูลค่าอยู่เพียงแค่ราวๆ 1,800 ดอลลาร์ต่อ 1 ออนซ์ แต่พอถึงช่วงสิ้นปีที่ผ่านมากลับเพิ่มขึ้นไปถึง 2,063 ดอลลาร์ต่อ 1 ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นไปถึง 13 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบปี-ต่อ-ปี ต้องเรียกว่า...ออกจะเป็นอะไรที่ “ระเบิดเถิดเทิง” เป็นอย่างยิ่ง แต่ยิ่งเมื่อมามองถึง “แนวโน้ม” ของระดับราคาในปีนี้ หรือตลอดช่วงปี ค.ศ. 2024 ไม่ว่าจะโดยการคาดการณ์ ประมาณการจากบรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละสำนัก เช่น “Saxo Bank’s Ole Hansen” หรือ “JPMorgan” หรือธนาคาร “UBS” ฯลฯ ก็ตาม ต่างออกมาในแนวเดียวกันทั้งสิ้น หรือออกไปในแนว “มีทองเท่าหนวดกุ้ง...แต่สะดุ้งจนเรือนไหว” ไปด้วยกันทั้งนั้น เพราะไม่เพียงแต่ระดับราคาตั้งแต่ต้นปี 2024 ที่เพิ่มขึ้นไปแล้วถึงประมาณ 2,110 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่โอกาสที่จะเพิ่มกับเพิ่มไปถึง 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเลยไปถึง 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสิ้นปีนี้ ค่อนข้างมี “ความเป็นไปได้” สูงเอามากๆ!!!

เรียกว่า...ใครที่ซื้อทอง ตุนทอง เอาไว้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว เลยไปถึงสิ้นปีนี้ มีสิทธิฟันกำไรกันชนิดเป็นหมื่นๆ บาทต่อมูลค่าราคาทองคำแค่ประมาณ 1 ออนซ์เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนใครจะรวยระดับอุจจาระแตก-อุจจาระแตนไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหนอันนั้น...อาจไม่ถึงกับสำคัญมากมายสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่น่าจะสำคัญยิ่งกว่า ก็น่าจะได้แก่การส่งสัญญาณ การแสดงให้เห็นถึงภาพสะท้อนถึงความปั่นป่วน รวนเร ของกระแสความเป็นไปของโลก ถึงความปวกเปียก ป้อแป้ ของเงินสกุลหลักของโลก อย่างเงิน “ยูเอสดอลลาร์” เมื่อเทียบกับมูลค่าของเงินตราสกุลสำคัญอื่นๆ รวมไปถึงแนวโน้มแห่งการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ราคาน้ำมันและแก๊ส ตลอดไปจนแนวโน้มแห่งภาวะเงินเฟ้อ อันถือเป็นสาเหตุหลักๆ ที่จะทำให้ “ราคาทองคำ” พุ่งระเบิดเถิดเทิงไปสู่การคาดการณ์ ประมาณการในลักษณะที่ว่า ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง...

ยิ่งถ้าหากว่าตามข้อมูล สถิติ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่าช่วงไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา บรรดาธนาคารกลางทั่วทั้งโลก ได้ลดการถือครองเงินยูเอสดอลลาร์ในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศไปแล้วถึง 59.2 เปอร์เซ็นต์รวมทั้งข้อมูล สถิติของสภาทองคำโลก “WGC” (World Gold Council) ที่คาดการณ์ไว้ว่า บรรดาธนาคารกลางทั่วทั้งโลกเตรียมที่จะซื้อทองคำเอาไว้เก็บ ไว้ตุน เป็นมูลค่าทุนสำรองระหว่างประเทศแทนเงินยูเอสดอลลาร์ไม่ต่ำกว่า 24 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้ อันนี้...ยิ่งทำให้เห็นภาพถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ว่าระหว่าง “เงินยูเอสดอลลาร์” กับ “แบงก์กงเต๊ก” นั้น มีความผิดแผกแตกต่างมาก-น้อยขนาดไหน ส่วนราคาน้ำมัน ที่เกิดการหันไปซื้อ-ขายกันด้วย “เงินตราสกุลอื่น” ที่ไม่ใช่ยูเอสดอลลาร์เพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา มันจะพุ่งระเบิดเถิดเทิงไปอีกถึงขั้นใด และจะเป็นตัวส่งผลให้ “ภาวะเงินเฟ้อ” ต้องระเบิดเถิดเทิงตามไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? อันนี้...ก็ค่อนข้างเห็นภาพชัดเจนไม่ต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะนับจากครั้งที่บรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลักๆ อย่าง “OPEC” หรือ “OPEC+” อย่างซาอุดีอาระเบียที่ตัดสินใจลดปริมาณการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดโลกไม่ต่ำกว่าวันละ 1 ล้านบาร์เรล ตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา แถมยังเตรียมขยายเวลาลดปริมาณการผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ไปอีกถึงช่วงไหนต่อช่วงไหนก็ยังไม่เป็นที่สรุปโดยชัดเจน เช่นเดียวกับหมีขาวรัสเซียที่ลดปริมาณการผลิตลงไปวันละ 300,000 บาร์เรลตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว มาจนตราบเท่าทุกวันนี้...

หรือถ้าว่ากันตามการคาดการณ์ ประมาณการของผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ อย่าง “นายDaan Struyven” ผู้บริหารด้านการวิจัยของบริษัท “Goldman Sachs” ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว “CNBC” ไว้เมื่อช่วงวันเสาร์ที่แล้ว (6 ม.ค.) โอกาสที่ราคาน้ำมันจะพุ่งระเบิดเถิดเทิงเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว หรือมากยิ่งไปกว่านั้นย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ไม่ว่าจะมองไปถึงการขยายเวลาการลดปริมาณการผลิตของประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลักๆ อย่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียดังที่กล่าวไปแล้ว การขาดหายไปของปริมาณการผลิตของบ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในลิเบีย หรือบ่อ “Sharara” อันเนื่องมาจากการประท้วงจนต้องปิดการผลิตน้ำมันจากพื้นที่บริเวณดังกล่าว หรือทำให้ปริมาณน้ำมันสูญหายไปจากตลาดวันละ 300,000 บาร์เรลเป็นอย่างน้อย ตามข้อมูลในแถลงการณ์ของ “NOC” (The National Oil Company) ของลิเบีย ไปจนถึงความปั่นป่วน วุ่นวายในการขนส่งสินค้า ขนส่งพลังงาน ในน่านน้ำทะเลแดง อันเนื่องมาจากการไม่คิดจะ “เอามือซุกหีบ” อีกต่อไป ของพวก “กบฏฮูตี” แห่งเยเมน ที่ส่งผลให้บรรดาเรือสินค้า เรือขนส่งพลังงานจากเอเชียไปยังโลกตะวันตก ต้องออกอ่าว-ออกทะเล ต้องหันไปแล่นอ้อมแหลมแอฟริกา ขณะที่ปฏิบัติการณ์รักษาความปลอดภัยในบริเวณน่านน้ำดังกล่าวของ “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตร หรือปฏิบัติการ “The Operation Prosperity Guardian” ออกอาการ “ล้มเหลว” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน เมื่อบรรดาประเทศยุโรปรวมไปถึงพันธมิตรด้านใต้อย่างออสเตรเลีย ต่างยึกๆ-ยักๆ ไม่คิดร่วมหัว-จมท้ายแบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อต่างฝ่ายต่างผะอืดผะอมต่อความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” แบบ “ม.ม้า” ไล่ไม่ทันของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อเมริกา อย่างคุณปู่อิสราเอลกันโดยถ้วนหน้า...

ยิ่งถ้าหาก “สงครามอิสราเอล-ฮามาส” มันเกิดการ “ขยายวง” ยิ่งไปกว่านั้น...การดวลจรวด ดวลปืนใหญ่ ระหว่างอิสราเอลกับพวกนักรบเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน ที่ทำให้ผู้บัญชาการทหาร “Radwan Force” ของพวกเฮซบอลเลาะห์ต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะเท่งทึงไปเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ทำให้ต้องเกิดการรื้อฟื้นสงครามเต็มรูปแบบขึ้นมาทางด้านเหนือของอิสราเอลจนได้ ไปจนถึงการลากเอาผู้สนับสนุนเครือข่ายนักรบชีอะห์ อย่างอิหร่าน ชนิดไม่อาจ “เอามือซุกหีบ” ได้อีกต่อไป อันนี้นี่แหละ ยิ่งมีแต่ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” หนักขึ้นไปใหญ่เพราะแค่ความไม่สะดวก ปลอดภัย ในบริเวณช่องแคบ “Bab-el-Mandeb” ในทะเลแดง อันเนื่องมาจากพวก “กบฏฮูตี” แค่นี้ก็...ตายแล้ว!!! แต่ถ้าต้องเลยไปถึงอาณาบริเวณช่องแคบ “Hormuz” อันเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันไม่ต่ำกว่า 1 ใน 5 ของปริมาณการผลิตทั่วทั้งโลก ที่อยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพลของอิหร่าน หรือเป็นอาณาบริเวณที่รัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน “พลเอกMohammad Reza Ashtiani” ท่านพูดเอาไว้ชัดเจนประมาณว่า... “ไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหว เดินหมากในภูมิภาคที่เราครอบครองความเหนือกว่า” ได้อยู่แล้วแน่ๆ อันนี้ก็ยิ่งโกบิ๊ก...ไปกันใหญ่ หรือยิ่งมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง...

สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะดูจากการขึ้นพรวดๆ พราดๆ ของราคา “ทองคำ” แนวโน้มของราคา “น้ำมัน” ที่จะระเบิดเถิดเทิงไปอีกเป็นเท่าตัว หรือเกินยิ่งไปกว่านั้น ไปจนความปวกๆ เปียกๆ ป้อๆ แป้ๆ ของเงินยูเอสดอลลาร์ ความโดดเดี่ยว โฮมอโลนของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ไม่ว่าในระดับโลกหรือในระดับภูมิภาคอย่างตะวันออกกลาง แนวโน้มที่จะก่อให้เกิดคำถาม หรือการตั้งข้อสังเกต อย่างที่นักวิเคราะห์ชาวรัสเซีย อย่าง “นายTimur Fomenko” ได้ตั้งเอาไว้เป็นหัวข้อให้ถกเถียง อภิปรายและแลกเปลี่ยน ตาม “รสนิยม” ของใครก็ของมันนับจากนี้เป็นต้นไป ประมาณว่า “Will 2023 be known as the last year of Global US hegemony” หรือปี 2023 จะเป็นที่รับรู้กันในฐานะเป็น “ปีสุดท้าย” แห่งความเป็นประมุขโลกของคุณพ่ออเมริกาหรือไม่? อย่างไร? ยิ่งต้องถือเป็นหัวข้อ คำถาม ที่น่าหยิบเอามาแลกเปลี่ยนมาถกเถียง มาลุ้น มาเชียร์ ยิ่งกว่า “หงส์แดงลิเวอร์พรุน-ปะทะ-ผีแดงแมนยูฯ” เป็นไหนๆ โดยใครจะเป็น “ท่านต่อ” หรือจะเป็น “ท่านรอง” ก็คงต้องว่าไปตามความรัก-สมัครใจของใคร-ของมันกันเอาเองก็แล้วกัน แต่สำหรับ “ทับทิม พญาไท” แล้วคงต้องขออนุญาตต่อ-รอง ไว้ด้วยราคาเดิมพันแบบไม่นับทดเวลาบาดเจ็บ และไม่ต้องเสียเวลาควบลูกครึ่ง หรือครึ่งลูก ว่าโอกาสที่คุณพ่ออเมริกา จะมีแต่ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” น่าจะประมาณ 100 บาทแลกกับอุจจาระสุนัขกองเดียว ใครคิดรอง-ไม่คิดรอง ก็ขอเชิญ “หลังไมค์” ได้เลย!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น