xs
xsm
sm
md
lg

ปี 2567 ความท้าทายของสังคมไทย ที่จะขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

  ปี 2566 เรามีการเลือกตั้งใหญ่จบด้วยชัยชนะของพรรคก้าวไกล แต่พรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ เพราะเป็นพรรคที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการเคลื่อนไหวเพื่อลดทอน บทบาท และสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยการหนุนหลังมวลชนที่ออกมาชุมนุมบนท้องถนน แต่มวลชนเหล่านั้นไม่ได้มีความแจ่มชัดถึงทฤษฎีและหลักการอย่างชัดเจน จึงเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวที่รุนแรงหยาบคายจนนำมาซึ่งความผิดตามมาตรา 112 จำนวนมาก และปี 2567 นี้น่าจะทยอยกันติดคุก

การถูกพันธนาการไปด้วยข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ทำให้ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่เหล่านั้นลดบทบาทและการเคลื่อนไหวลง เพราะใช้เวลาไปกับการสู้คดีที่ไม่มีวันชนะ เพราะการกระทำของพวกเขานั้นยากมากที่จะรอดพ้นจากความผิดไปได้ ทำให้พรรคก้าวไกลต้องหาทางออกในการผลักดันนิรโทษกรรมทางการเมืองเพื่อช่วยผู้กระทำผิดมาตรา 112ไปด้วย

แต่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่มีใครเอาด้วย เพราะเห็นว่าการด่าทอให้ร้ายดูหมิ่นหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ตามกฎหมายอาญานั้นเป็นคนละเรื่องกันกับคดีทางการเมือง แต่การโดนคดีดังกล่าวก็ทำให้องค์กรที่ออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือคนเหล่านี้ใช้เป็นเงื่อนไขในการขอสนับสนุนเงินทุนจากต่างประเทศด้วยการโจมตีว่ามาตรา 112 นั้นเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็น ilaw หรือสื่ออย่างประชาไท

เหมือนกับว่าพวกเขาแยกแยะไม่ได้ระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการละเมิดบุคคลอื่นด้วยการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายไม่ว่าจะแสดงออกต่อใครก็ตาม

แต่เราก็ยอมรับจากผลการเลือกตั้งว่า มีกลุ่มคนที่ออกมาสนับสนุนพรรคก้าวไกลมากขึ้นรวมไปถึงกลุ่มคนวัยทำงานที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลผ่านระบบภาษีมากขึ้น แม้วันนี้จะยังไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศเกินครึ่ง แต่ก็เป็นสัญญาณที่ท้าทายการดำรงอยู่ของสถาบันหลักของประเทศมากขึ้น น่าคิดว่าพรรคก้าวไกลสามารถสร้างฐานมวลชนถึงขีดสุดหรือยัง ซึ่งคงต้องดูการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากไม่มากไปกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แม้จะยังชนะเป็นพรรคอันดับ 1 ได้ พรรคก้าวไกลก็ไม่มีวันได้เป็นรัฐบาล เพราะพรรคการเมืองอื่นจะจับมือกันเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก แล้วผลักพรรคก้าวไกลให้เป็นพรรคฝ่ายค้านตลอดไป

 นั่นหมายความหนทางเดียวที่พรรคก้าวไกลจะได้อำนาจรัฐก็คือ ต้องชนะเลือกตั้งได้เสียงเกินครึ่งของจำนวนส.ส.ในสภา ซึ่งการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่มีเสียงของส.ว.เข้ามาเกี่ยวข้องก็ดูว่าพรรคก้าวไกลจะทำได้ไหม แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่ายังเป็นไปได้ยาก


แม้ว่าพรรคก้าวไกลอาจจะยังไม่ชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ก็ใช่ว่าเราจะตั้งรับมือกับพรรคก้าวไกลได้ตลอดไป แม้ว่าอนาคตจะไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนทุกสรรพสิ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ถ้าคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นล้วนแล้วแต่นิยมชมชอบพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น สักวันหนึ่งความฝันของพรรคก้าวไกลที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิมก็อาจจะเป็นจริงก็ได้

บางคนอาจจะบอกว่าเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิมก็ดีแล้ว เพราะประเทศไทยที่เป็นอยู่นั้นมีแต่นักการเมืองที่ฉ้อฉลแสวงหาประโยชน์ และเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ทำให้คนไม่เท่ากัน แต่มั่นใจหรือว่า ถ้าเราทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมได้มันจะทำให้ประเทศไทยดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าพวกเขาสามารถลดทอน บทบาท และสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบันไดก้าวแรกได้ เราคิดไหมว่าบันไดก้าวต่อไปของพวกเขาจะนำพาประเทศไทยไปทางไหน และถ้าเราเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐไปเป็นอย่างอื่นมันจะดีกับประเทศไทยอย่างไร

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่สมาทานกับความคิดอนุรักษนิยม ทั้งที่ความคิดอนุรักษนิยมนั้นให้ความสำคัญกับค่านิยม สถาบัน และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป และให้ความสำคัญของการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในสังคม สนับสนุนให้มีการแทรกแซงของรัฐบาลอย่างจำกัดในด้านเศรษฐกิจและชีวิตของแต่ละบุคคล ให้ความสำคัญของความรับผิดชอบส่วนบุคคลและการพึ่งพาตนเอง โดยลดการพึ่งพารัฐ และเชื่อว่าค่านิยมและสถาบันดั้งเดิมเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม

แต่เราได้ยินคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์บนท้องถนนด้วยการด่าทอหยาบคายด้วยข้อมูลที่ร่ำลือกันมาโดยไม่ได้ตรวจสอบ มักจะเรียกร้องให้รัฐเข้ามารับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น พวกเขาเรียกร้องรัฐสวัสดิการแบบสังคมนิยม และบางครั้งก็เอาความคิดแบบลัทธิคอมมิวนิสต์เจือปนมาด้วยชูธงดาวแดงใส่หมวดดาวแดงในการเคลื่อนไหว แม้รู้ว่าพวกเขาทำไปเพราะไม่รู้และเข้าใจถึงทฤษฎีทางการเมืองเหล่านั้นอย่างชัดเจน พวกเขาตะโกนบนถนนว่าภาษีของเรา แต่มีคนไทยที่เสียภาษีเงินได้เพียง 3.9 ล้านคนเท่านั้นไม่มีทางที่จะสร้างรัฐสวัสดิการแบบที่พวกเขาฝันได้เลย

 ปัญหาของคนรุ่นใหม่ต่อความคิดอนุรักษนิยมตอนนี้ก็คือ พวกเขามองว่า การยึดโยงของสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทยเป็นสิ่งที่ล้าหลัง พวกเขามองว่าโครงสร้างและสถาบันหลักของประเทศนี้เป็นตัวกัดเซาะประเทศไทย โดยไม่แยกแยะว่าแท้จริงแล้ว ระบบที่กัดเซาะประเทศไทยก็คือ การผลัดกันเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองของนักการเมืองที่ล้วนแล้วแต่เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจทั้งสิ้น ระบอบประชาธิปไตยอาจได้รับการยอมรับว่าเป็นระบอบที่ดีที่สุด แต่ระบอบประชาธิปไตยที่นักการเมืองเป็นใหญ่ คิดว่าเราจะพึ่งพิงได้ดีกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างที่เป็นอยู่จริงๆ หรือ

ต้องยอมรับนะว่าทุกวันนี้การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่และพรรคก้าวไกลนั้นพวกเขาต้องการระบอบประชาธิปไตยห้วนๆ ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นก็มีจุดอ่อนที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อมั่น อาจจะเริ่มจากความเป็นอนุรักษนิยมในครอบครัวไทยที่เน้นความกตัญญู ความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกจากกฎเกณฑ์ของสังคมหลังเข้าศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยรู้ว่าพวกเขาอยากมีเสรีภาพมากขึ้นหลุดพ้นจากพันธนาการของครอบครัว จนกระทั่งกลายเป็นเหยื่อที่นักวิชาการที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ของรัฐซึ่งมีอยู่มากในรั้วมหาวิทยาลัยปลุกปั่นให้พวกเขามีสำนึกกบฏต่อสังคมได้ง่าย

การที่แนวคิดอนุรักษนิยมนักอนุรักษ์นิยมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาลำดับชั้นทางสังคมและการเคารพผู้มีอำนาจ ซึ่งมีส่วนทำให้โครงสร้างทางสังคมมั่นคงและเหนียวแน่น ทำให้ถูกนำไปปลุกปั่นถึงความไม่เท่าเทียมและการเป็นอภิสิทธิชนทางสังคม และการอนุรักษ์แนวปฏิบัติทางวัฒนธรรมดั้งเดิมและคุณค่าทางศาสนา รวมถึงพิธีกรรม พิธีการ และประเพณีที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของฝ่ายอนุรักษนิยมก็ถูกมองว่าเป็นความล้าหลังงมงาย ความคิดเหล่านี้ถูกนักวิชาการกลุ่มหนึ่งนำมาปลูกฝังในความคิดคนรุ่นใหม่อย่างได้ผล ไม่ต้องนับถือศาสนาไหน ไม่นับถือพระเจ้าองค์ไหน ไม่นับถือครูบาอาจารย์

  ที่สำคัญคือ การที่อำนาจในสถาบันหลักของไทยหันไปพึ่งพิงระบอบทักษิณในการต่อสู้กับความท้าทายของพรรคก้าวไกลนั้น กลับทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่อนุรักษนิยม เพราะมีคนจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับในตัวของทักษิณและมองทักษิณด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ ในขณะที่คนที่ยอมรับได้มองว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาระบอบทักษิณในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล แม้ทักษิณจะฉ้อฉลแต่ในระยะหลังทักษิณและลิ่วล้อแสดงออกว่าไม่ได้มีอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ซึ่งก็ต้องพิสูจน์กันในอนาคตว่า จะสามารถไว้วางใจทักษิณได้ไหม เพราะแม้วันนี้ทักษิณต้องโทษจากการทุจริตคอรัปชั่นกลับมายอมรับผิดและได้รับการพระราชทานอภัยโทษลดโทษเหลือเพียง 1 ปี แต่ก็ยังไม่ยอมเข้าจองจำในคุกแม้แต่วันเดียว ซึ่งกลายเป็นรอยด่างให้เห็นว่า อำนาจและสถาบันในฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นเต็มไปด้วยความเป็นอภิสิทธิชน กลายเป็นการหนุนเอื้อให้ข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่บนท้องถนนที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมีความชอบธรรมมากขึ้น

 ปี 2567 นับจากนี้การปะทะทางความคิดของคนต่างรุ่นในสังคมไทยจะรุนแรงยิ่งขึ้น ถ้าฝ่ายอนุรักษนิยมจะรักษาแนวคิดและสร้างศรัทธาต่อคนรุ่นใหม่ให้ได้ก็ต้องแสดงให้เห็นว่า แนวคิดอนุรักษนิยมนั้นสามารถเปิดโอกาสในการแข่งขันเติบโตของพวกเขาได้อย่างเท่าเทียม มีความเสมอภาค และมีความมั่นคงในชีวิต

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น