ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ในวันที่ 6 ธันวาคม 2023 ในบทความ ชื่อ N1-methylpseudouridylation of mRNA causes +1 ribosomal frameshifting จากคณะทำงานมหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ และ ออกซ์ฟอร์ด ดังรายชื่อ ซึ่งสามารถสืบค้นประวัติความเป็นมาและการทำงาน ความเชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ ของนักวิจัยเหล่านี้ได้ (Thomas E. Mulroney, Tuija Pöyry, Juan Carlos Yam-Puc, Maria Rust, Robert F. Harvey, Lajos Kalmar, Emily Horner, Lucy Booth, Alexander P. Ferreira, Mark Stoneley, Ritwick Sawarkar, Alexander J. Mentzer, Kathryn S. Lilley, C. Mark Smales, Tobias von der Haar, Lance Turtle, Susanna Dunachie, Paul Klenerman, James E. D. Thaventhiran และ Anne E. Willis)
โดยที่โปรตีนที่ผิดปกติ อาจเกี่ยวโยงกับการแพ้ภูมิตนเอง ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลเบื้องลึก เบื้องหลังเกี่ยวกับวัคซีนออกมาให้เราได้รับทราบกันอยู่ เป็นระยะ ดังเช่นบทความ ฉบับนี้ และ มีการให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม จากคณะผู้ทำงาน รวมกระทั่งมี ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นที่ไม่ได้ เกี่ยวข้องในรายงานนี้ ให้ความเห็นเพิ่มเติม เปิดเผยในสื่อนานาชาติ The Epoch Times เกี่ยวกับวัคซีน mRNA ซึ่งมีข้อมูลที่ต้องสนใจเพื่อความตระหนักรู้เกี่ยวกับวัคซีนมากขึ้น
งานวิจัยชิ้นนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ วัคซีนของ Pfizer จะผลิตโปรตีน ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายราย เป็นกังวลเพราะเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ ที่จะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและการแพ้ภูมิตนเอง โดยพบว่ามีโอกาส 1 ใน 10 ที่วัคซีน COVID-19 ชนิด mRNA ของ Pfizer จะไม่สร้างโปรตีน spike แต่กลับเบี่ยงเบนไปสร้างโปรตีนชนิดอื่น ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของการแปลรหัสพันธุกรรมอันเนื่องมาจากการที่ วัคซีน Pfizer ไปเปลี่ยนแปลงลำดับเบสบน mRNA
หากกล่าวถึงวัคซีนชนิดนี้ mRNA คือชุดคำสั่งที่ใช้ในการสร้างโปรตีน ดังนั้น เมื่อวัคซีนเข้าสู่เซลล์แล้ว ไรโบโซมจะแปลรหัสของ mRNA เพื่อสร้างเป็นโปรตีน ดังเช่นโปรตีน spike ใน COVID-19 แต่หากมีการแปลรหัสที่ผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ก็จะก่อให้เกิดการสร้างโปรตีนที่ผิดพลาดขึ้นตามมา บางครั้งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอาจแค่เล็กน้อยเหมือนการสะกดคำ ผิดไปหนึ่งคำ แต่เป็นไปได้ที่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น อาจส่งผลอย่างร้ายแรงได้
การแปลรหัสที่ผิดพลาดนี้เรียกว่า frameshift ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ 1-2 เบสของ mRNA มีการเลื่อนออกไป โดยปกติแล้ว นิวคลิโอไทด์เบสของ mRNA จะถูกแปลรหัสเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 เบส ดังนั้น หากมีการเลื่อนของเบสเกิดขึ้นก็จะมีผลกระทบกับลำดับเบสทั้งหมดที่ตามมา ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโปรตีนชนิดใหม่ขึ้น
Jessica Rose (นักภูมิคุ้มกันวิทยา) ได้เขียนบรรยายไว้บน Substack ของเธอว่า การเลื่อนกรอบการแปลรหัส (Frameshifting) เป็นผลให้เกิดการผลิตโปรตีนที่หลากหลาย เป็นโปรตีนที่จำเพาะหรืออาจเป็นโปรตีนที่ผิดปกติ
mRNA โดยธรรมชาติแล้วจะมีเบส uridine เป็นส่วนประกอบ แต่ในวัคซีนชนิด mRNA ของ Pfizer ใช้ N1-methylpseudouridine มาทดแทนเพื่อทำให้ mRNA คงทนและไม่ถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงนิวคลิโอไทด์เบสบน mRNA นี้เป็นเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์เรียกวัคซีนชนิด mRNA นี้ว่า modified RNA หรือ modRNA คณะผู้วิจัยได้สรุปถึงเรื่องนี้ไว้ว่า แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าโปรตีนที่ผิดปกตินี้จากการฉีดวัคซีนของ Pfizer มีความเกี่ยวข้องกับอาการข้างเคียงหรือผลเสียที่เกิดขึ้นกับคนที่ฉีดวัคซีน
แต่ในอนาคตกับการใช้เทคโนโลยี mRNA ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องออกแบบหรือเปลี่ยนแปลง mRNA ให้ลดการเลื่อนกรอบการแปลรหัส (Frameshifting) นี้
จากการทดสอบวัคซีน มีแค่ Pfizer เท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติ นอกจากเรื่องการแปลรหัสที่ผิดพลาดแล้ว N1-methylpseudouridine ยังไปรบกวนกระบวนการแปลรหัสของ mRNA ไปเป็นโปรตีนอีกด้วย ซึ่งนำไปสู่การสร้างลำดับโปรตีนที่สั้นลงกว่าปกติ โดยสภาวะปกติ ไรโบโซมจะแปลรหัส mRNA ของวัคซีนไปเป็นโปรตีน spike แต่ถ้าไรโบโซมตรวจพบความผิดปกติ (ความแตกต่างระหว่าง uridine และ N1-methylpseudouridine) มันอาจหยุดกระบวนการแปลรหัสหรือเกิดการแปลรหัสที่ผิดพลาดขึ้นได้
ซึ่งข้อมูลนี้ Dr. Adonis Sfera ผู้ช่วยศาสตราจารย์คลินิกทางการแพทย์ มหาวิทยาลัย Loma Linda ได้เขียนอีเมล์ให้รายละเอียดนี้กับทางสื่อ The Epoch Times โดยในงานวิจัยนี้ นักวิจัยได้ทำการฉีดหนูด้วยวัคซีน Pfizer และ AstraZeneca พบว่าวัคซีน Pfizer มีแนวโน้มที่จะผลิตโปรตีนผิดปกติมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ นักวิจัยได้ทำการเปรียบเทียบการฉีดวัคซีนในคน โดยเปรียบเทียบ 21 คนที่ฉีดวัคซีน Pfizer กับ 20 คนที่ฉีดวัคซีน AstraZeneca พบว่า 1 ใน 3 ของคนที่ฉีดวัคซีน Pfizer มีระบบภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่ผิดปกติ ขณะที่ไม่พบในคนที่ฉีดวัคซีน AstraZeneca เลย
ภูมิคุ้มกันผิดเป้าหมายและการแพ้ภูมิตนเอง แม้ขณะนี้จะไม่มีรายงานวัคซีน Pfizer ที่ส่งผลร้ายอย่างชัดเจน แต่คณะผู้วิจัยก็ยังเป็นกังวลต่อผลที่ตามมาในเรื่องของภูมิคุ้มกัน ซึ่งความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันจะเป็นอันตรายอย่างมาก โดย Dr.James Thaventhiran (นักภูมิคุ้มกันวิทยา) หนึ่งในผู้นำในการเขียนงานวิจัยนี้ได้กล่าวไว้ว่า การหลุดออกจากเป้าหมายในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น ในกรณีที่กำลังกล่าวถึงนี้จะหมายถึงการที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่ได้พุ่งเป้าเพื่อต่อสู้กับโปรตีน spike แต่พุ่งเป้าไปที่โปรตีนอื่นที่สร้างขึ้นแบบผิดปกติแทน ดังที่ Marit Kolby นักชีววิทยาด้านโภชนศาสตร์ได้เคยกล่าวเน้นย้ำเอาไว้
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอีกหลายคนยังคงเป็นกังวลว่าโปรตีนเหล่านั้นจะเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาให้เกิดโรคแพ้ภูมิตนเอง
ศาสตราจารย์ Dr. Vladimir Uversky ซึ่งเป็นนักชีววิทยาโมเลกุลจากมหาวิทยาลัย South Florida และ Dr. Alberto Rubio-Casillas สรุปไว้ว่าการแพ้ภูมิตนเองอาจเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันเริ่มเข้าจู่โจมเซลล์ที่ผลิตโปรตีนที่ผิดปกติเหล่านั้น
นอกจากนั้น Dr. Sfera ได้กล่าวเสริมไว้ว่าโปรตีนที่เกิดจากการแปลรหัสผิดอาจจะไปเหมือนกับโปรตีนอื่นในร่างกายมนุษย์และกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดีขึ้น การแพ้ภูมิตนเองเริ่มเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันเข้าจู่โจมเนื้อเยื่อของตัวเองซึ่งเหตุการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะมีอาการปรากฏให้เห็น
การศึกษาของ Aristo Vojdani (นักภูมิคุ้มกันวิทยา) แสดงให้เห็นว่าโปรตีน spike สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาข้ามได้ หมายถึงว่าร่างกายเป้าหมายไปที่เซลล์ของตนเอง บนเนื้อเยื่อที่มีมากกว่า 20 ชนิดในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายคลึงกันกับโปรตีนของมนุษย์
Uversky และ Dr. Rubio-Casillas ได้เพิ่มเติมกับ สื่อ The Epoch Times ว่าการผลิตโปรตีนและเปปไทด์ที่ผิดปกติอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง โดยเซลล์เมลาโนมาสามารถชักนำโปรตีนที่เกิดจาก frameshift ให้หลบหลีกการตรวจจับโดยระบบภูมิคุ้มกันได้
และพวกเขาแสดงความคิดเห็นว่า มันเป็นไปได้ว่าโปรตีนที่ผิดปกติจากการแปลรหัสของ mRNA วัคซีนสามารถกระตุ้นกระบวนการอยู่รอด (survival mechanisms) เช่นเดียวกันกับเซลล์มะเร็งที่หลีกหนีการตรวจจับของระบบภูมิคุ้มกัน
โปรตีนที่ไม่เคยรู้จักในร่างกาย
นักวิจัยยังไม่ทราบอะไรแน่ชัดเกี่ยวกับโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ ทั้งในแง่ของโครงสร้างหรือลำดับเปปไทด์ แต่ในการศึกษาวิจัยพบว่ามีโปรตีนตัวหนึ่งที่เป็น chimeric protein (โปรตีนผสมผสาน) โดย chimeric protein นี้จะสร้างขึ้นมาจากโปรตีนที่ได้จาก 2 ยีนหรืออาจมากกว่านั้น ซึ่งปกติแล้วแต่ละยีนก็จะแปลรหัสเป็นโปรตีนที่แตกต่างกัน ส่วน chimeric protein ที่พบนั้นมีโครงสร้างที่เหมือนกันกับโปรตีนในคนซึ่งมันอาจจะไปชักนำให้เกิดการตอบสนองต่อภูมิตนเองขึ้น
Jonathan Engler ซึ่งเป็นแพทย์และนักกฎหมายรวมถึงยังเป็นประธานร่วมของกลุ่ม HART (Health Advisory and Recovery Team) โดยกลุ่ม HART นี้เป็นการรวมกันของผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการของประเทศอังกฤษที่จะคอยแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อแนะนำเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่เชื่อมโยงกับ COVID-19 ได้บอกกับทาง The Epoch Times ว่าไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่ตรวจพบนี้จะมีความเชื่อมโยงกับอันตรายใดๆหรือไม่ แต่ที่รู้คือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบความเป็นไปได้นี้ ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะต้องตระหนักข้อผิดพลาดในการออกแบบ
Engler ได้กล่าวไว้ว่า ความจริงที่ว่า mRNA ที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายและถูกถอดรหัสผิดพลาดนั้นเกิดจากความผิดพลาดของการออกแบบ อย่างไรก็ดี ก็มีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของ Engler อาทิเช่น Edward Nirenberg ได้วิจารณ์ถึงเรื่องความกังวลนี้ว่า “คนเรามักจะทำเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่” Frameshift แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติแต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น การติดเชื้อไวรัส ที่ส่งผลให้มีผลผลิตโปรตีนเกิดขึ้นและเป็นเป้าหมายของระบบภูมิคุ้มกัน
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ก็เน้นย้ำในผลงานตีพิมพ์ของพวกเขาว่า ลำดับ mRNA ที่สังเคราะห์ขึ้นใช้ในวัคซีนมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากข้อผิดพลาด ส่วน Pfizer เองก็นิ่งเฉย ไม่ได้ออกมาให้ข้อมูลหรือโต้แย้งใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องของวัคซีนชนิด mRNA ยังคงมีข้อมูลใหม่ๆปล่อยออกมาเป็นระยะ ทุกคนต้องเฝ้าติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องใกล้ตัว
อีกทั้งข้อมูลต่างๆที่ออกมามีมากมายหลายด้าน อาจมีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงหรือเป็นเท็จ การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและมีข้อมูลพร้อมทุกด้านจะช่วยให้เรามั่นใจและตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวเราเองในฐานะผู้บริโภค ทั้งนี้ยังรวมถึงการพบว่าวัคซีน mRNA ไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนที่ฉีดยาเพียงสองถึงสามวันดังที่ บริษัทกล่าวอ้าง แต่สามารถซึมเข้าในกระแสเลือดและซึมผ่านเข้าเซลล์ในทุกอวัยวะได้ และนอกจากนั้นวัคซีนที่ผลิตขึ้นมานั้นยังถูกปนเปื้อนด้วย จากกระบวนการผลิตโดยมี DNA ที่ไม่ได้ขจัดออกไป และยีนส์ ori รวมทั้ง SV40 promoter ที่จะบังคับให้สร้างโปรตีนที่ไม่ได้ต้องการและก่อให้เกิดความผิดปกติได้
ดังนั้น ปรากฏการณ์หลายอย่างที่อธิบายไม่ได้ในคนที่ได้รับวัคซีนโดยในคนไทยถึงกับได้รับคนละหกถึงแปดเข็มกลับมีสุขภาพไม่สมบูรณ์และมีโรคหลายอย่างเกิดขึ้น ที่ไม่ได้อธิบายจากการติดโควิด