ท่าทาง...รัฐบาลขวาสุดกู่ ของนายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” แห่งอิสราเอล ท่านกะจะล้างผลาญ ทำลาย อาณาบริเวณแค่แมวดิ้นตาย อย่างพื้นที่ฉนวนกาซา แบบไม่คิดให้เหลือเศษ เหลือซาก เหลือสิ่งใดๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชนชาวปาเลสไตน์ต่อไปอีกเลย ไม่เพียงแต่ชีวิตผู้คนนับเป็นหมื่นๆ หรือปาเกือบ 2 หมื่นเข้าไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นลูกเด็กเล็กแดงที่ยังแทบไม่รู้ประสีประสาใดๆ เลย รวมไปถึงสถานศึกษา โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ ต่างถูกบอมม์ม์ม์ ถูกถล่ม ชนิดราบเป็นหน้ากลอง แม้แต่โบสถ์ สุเหร่า พิพิธภัณฑสถาน โบราณสถาน ฯลฯ ยังหนีไม่พ้นต้องตกเป็นเหยื่อความบ้า ความกระหายสงครามของกองทัพ “IDF” (Israel Defense Force) แบบอเนจอนาถ น่าทุเรศ เวทนา เอามากๆ...
อย่างเช่น สุเหร่า “Omari Masque” อันถือเป็นสุเหร่าแห่งแรกที่เคยถูกสร้างเอาไว้ในพื้นที่แห่งนี้มานับตั้งแต่อดีตไม่รู้กี่ร้อย กี่พันปี ปัจจุบันเหลือแค่เสา แค่หอคอย โด่ๆ เด่ๆ ส่วนที่เป็นอาคาร เป็นสถานที่สักการบูชา ของบรรดาชาวมุสลิมในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งเป็นโบราณสถาน เป็นหลักฐานทางโบราณคดีอีกซะด้วย ต่างพังพินาศกลายเป็นเศษหิน เศษปูน ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับสุเหร่า “Qthman bin Qashqar Mosque” ไปจนถึงโบราณสถาน “Hamman al-Samara” สถาปัตยกรรมสไตล์ตุรกีที่มีอายุ-อานามไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี ล้วนถูกระเบิดเจาะทะลุทะลวงจนกลายเป็นซากปรักหักพังกันไปเป็นแถบๆ ขณะพิพิธภัณฑสถานอันพอช่วยให้เกิดเครื่องเตือนใจ เกิดการรำลึกนึกถึงโคตรเหง้าบรรพบุรุษผู้เคยอยู่อาศัยในดินแดนแถบนี้มาก่อนก็ถูกถล่มยับเยินลงไปไม่น้อยกว่า 8 แห่ง รวมถึงโบราณสถานอีก 12 แห่ง หรือถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติที่องค์กรเอกชนซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลใดๆ อย่างองค์กร “Heritage for Peace” เขาคิดคำนวณเอาไว้ สรุปว่าแหล่งโบราณสถาน โบราณคดีไม่น้อยกว่า 195 แห่ง ต่างถูกระเบิด ถูกกระสุนปืนใหญ่กองทัพอิสราเอลบดขยี้ จนแทบไม่เหลือเศษ เหลือซากใดๆ ต่อไปอีกแล้ว...
คือไม่ใช่แค่คิดจะล้างผลาญ ทำลาย ชีวิตมนุษย์มนาที่ถือเป็น “เพื่อนร่วมวัฏสงสาร” กับบรรดาลูกหลานชาวยิวทั้งหลายแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นที่จะขุดราก ถอนโคนสิ่งใดๆ ก็ตามที่เคยเป็นตัวสรรค์สร้างแนวคิด ทัศนคติ ให้กับวิถีชีวิตผู้คนภายในพื้นที่ดังกล่าว ทำลายประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ไปจนถึง “จิตวิญญาณ” เอาเลยก็ว่าได้ สิ่งที่รัฐบาลและกองทัพอิสราเอลเรียกว่า “สงครามกับพวกฮามาส” คราวนี้ มันจึงไม่ใช่การสู้กันระหว่างทหารกับทหาร หรือนักรบกับนักรบด้วยกัน แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความเพียรพยายามที่จะล้างผลาญ “ความเป็นชาวปาเลสไตน์” ไม่ให้หลงเหลือติดปลายนวมผู้ที่อยู่อาศัยในดินแดนแห่งนี้เอาไว้เลย ดังเช่นที่นักวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์และอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่บ้านเรารู้จักกันดีในนามคุณ “Tony Catalucci” หรือ “นายBrian Berletic” ท่านเคยตั้งข้อสังเกต ตั้งสมมติฐานเอาไว้กับสำนักข่าว “Sputnik” เมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง...
อันเป็นอะไรที่สอดคล้อง ต้องกันกับสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน ประเทศที่ถือเป็นพันธมิตรของอเมริกาและอิสราเอลซึ่งมีอยู่น้อยเต็มทีในภูมิภาคแห่งนี้ อย่าง “นายAyman Safadi” ท่านจึงต้องสรุปแบบเดียวกันกับคุณ “Tony Cartalucci” ในระหว่างเวทีประชุม “Doha Forum” ที่ประเทศกาตาร์ เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 ธ.ค.) ว่าโดย “เป้าหมาย” ของรัฐบาลอิสราเอลนั้น ไม่ได้คิดจะรบกับพวกฮามาสมากมายสักเท่าไหร่ แต่คิดจะก่อการสังหารหมู่ หรือคิด “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายนั่นแหละเป็นหลัก ไม่ก็มุ่งจะขับไล่ผู้คนประมาณ 2 ล้านกว่าคน ให้ออกไปจากพื้นที่แคบๆ ประมาณ 365 ตารางกิโลเมตรในเขตฉนวนกาซา ให้กลายไปเป็น “ผู้ลี้ภัย” ในดินแดนบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างอียิปต์ ไปตลอดชั่วนิรันดร์กาล แถมยังอ้างถึงเจตนารมณ์ ความต้องการดังกล่าว ที่ถูกสะท้อนผ่านคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีอิสราเอลถึง 2 ราย ก่อนหน้านี้ คือ “นายItamar Ben-Gvir” รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และ “นายBezalel Smotrich” รัฐมนตรีคลัง ที่ได้หลุดปาก ออกปาก ถึงความปรารถนาทำนองนี้ ให้เป็นที่รับรู้ รับทราบ ได้พอประมาณ...
ดังนั้น...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลกที่ “นายAyman Safadi” ท่านจะฟันธง-ฟันเฟิร์มไว้แบบเต็มผืน เต็มด้ามว่า... “สิ่งที่เรากำลังเห็นอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่การสังหารผู้บริสุทธิ์และการทำลายล้างวิถีชีวิตของผู้คนครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่ยังเป็นความพยายามอย่างเป็นระบบ ที่จะทำให้พื้นที่(ฉนวนกาซา)แห่งนี้ว่างเปล่าปราศจากผู้คน” จนอาจต้องถูกแปรสภาพให้กลายเป็น “ที่ตั้งถิ่นฐาน” ของบรรดาลูกหลานชาวอิสราเอลในโอกาสต่อไปนั่นเอง!!! โดยที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...คือแม้แต่คนกลางๆ อย่างผู้บริหารหน่วยงาน “UNRWA” ของสหประชาชาติ อย่าง “นายPhilippe Lazzarini” ก็ยังเห็นพ้อง ต้องกัน เป็นไปในแนวเดียวกันแบบชนิดเป๊ะๆๆ หรือเห็นว่ารัฐบาลอิสราเอลมี “แผนการ” ที่จะขับไล่บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายในพื้นที่ฉนวนกาซา ให้กลายไปเป็นผู้ลี้ภัยในอียิปต์ตลอดชั่วนิรันดร์กาล หรือ... “เท่าที่เห็นเป็นเพียง...แผนขั้นแรก...ของอิสราเอลที่พยายามผลักดันชาวปาเลสไตน์ในกาซา ให้ไปกระจุกตัวอยู่ที่เมือง Khan Younis ใกล้พรมแดนอียิปต์ และขั้นต่อไปก็คือการทำให้พื้นที่ดังกล่าวว่างเปล่า กลายเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอล...”
และนั่นเท่ากับทำให้โอกาสที่โลกทั้งโลกจะผลักดันให้เกิดทางออก-ทางไป แบบที่เรียกกันว่า “The Two States Solution” ยิ่งแทบไม่มีโอกาสเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เพราะไม่ว่า “เยรูซาเล็มตะวันออก” ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ นอกจากจะถูกยึด ถูกถือครอง ให้กลายเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เรียกร้องให้ใครต่อใครย้าย “สถานทูต” ไปตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณดังกล่าวแต่เพียงเท่านั้น บรรดาชาวอิสราเอลที่สอดแทรกเป็นยาดำอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ยังมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 192,000 คนเป็นอย่างน้อย ไม่ต่างไปจากเขต “West Bank” ที่แม้จะใหญ่โต โอ่โถง ขึ้นมาอีกนิด ด้วยเนื้อที่ประมาณ 5,655 ตารางกิโลเมตร แต่ด้วยเหตุเพราะไม่มีทางออก-ทางไปสู่ทะเล ถูกล้อมกรอบเอาไว้ด้วยรัฐอิสราเอล แถมในจำนวนชาวปาเลสไตน์ประมาณ 2-3 ล้านคน ยังมีชาวอิสราเอลสอดแทรกอยู่อีกถึง 500,000 คน ดังนั้น...ถ้าหากบรรดาชาวปาเลสไตน์ประมาณ 2 ล้านกว่าคน ในเขตฉนวนกาซาถูกเสือกไสไล่ส่ง ให้ต้องออกจากพื้นที่ประมาณแมวดิ้นตายแบบหาทางกลับ หาทางไปแทบไม่เจอ ความเป็น “รัฐปาเลสไตน์” ที่จะต้องอยู่เคียงคู่ไปกับ “รัฐอิสราเอล” ตามแบบฉบับ “The Two States Solution” มันคงแทบไม่เหลือพอทำน้ำอิ๊ว น้ำยาได้อีกเลย เหลือแต่ประเทศอิสราเอลที่กำลังเตรียมเนื้อเตรียมตัว คิดจะเป็น “The Greater Israel” หรือเป็นดินแดนที่พยายาม “ขยายตัว” ให้กว้างขวาง ใหญ่โต เทียบเท่ากับที่ “พระผู้เป็นเจ้า” ของชาวอิสราเอล ได้เคยให้ “พันธสัญญา” เอาไว้แต่ดั้งเดิม...นั่นแล...
แต่ก็นั่นแหละ...ความมุ่งมั่น ความเพียรพยายาม ที่จะล้างเผ่าพันธุ์ ล้างประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ของผู้อื่นที่เพียงแค่ไม่ได้เป็นลูกหลานชาวยิว ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ “ดาวิด” และ “โซโลมอน” โดยตรงเท่านั้น แม้จะถือเป็นชาว “Semitic” เป็นลูกหลาน “อับราฮัม” เช่นเดียวกับ “ตัวกู-ของกู” ก็เถอะ มันคงไม่ถึงกับ “ง่าย” มากมายสักเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะมี “ประมุขโลก” หรือมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาเป็น “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” คอยอุ้มชู ฟูฟัก เพียงใดก็ตาม เพราะอย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน “นายAyman Safadi” ท่านสรุปไว้ในเวทีประชุมกาตาร์เมื่อวัน-สองวันมานี้ ด้วยคำพูดที่ว่า “อิสราเอล...ได้สร้างความเกลียดชังจำนวนมหาศาลที่สิงสู่อยู่ในภูมิภาคแห่งนี้ และสิ่งเหล่านี้นี่เองที่จะกลายเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของผู้คนในห้วงอนาคต ไม่ว่าจะเป็นพวกฮามาสหรือแม้แต่ชาวปาเลสไตน์ที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวไปทั่วทั้งภูมิภาค และมันจะทำให้อิสราเอลไม่อาจเอาชนะสงครามแห่งความเกลียดชังเหล่านี้ลงไปได้เลย มีแต่จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับ...ยุทธศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้ นับตั้งแต่แรก...”
จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ...บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ที่ย่อมต้องถือเป็นมนุษย์มนา หรือยังพอหลงเหลือ “ความเป็นมนุษย์” ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง ไม่ว่ามาก-หรือน้อย คงต้องลองไปชั่งน้ำหนัก ไปคิดคำนวณดูเอาเองก็แล้วกัน ว่าโอกาสที่จะลบล้างความเกลียด ด้วยความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้น อาฆาตพยาบาทและชิงชัง มันสามารถเป็นจริง-เป็นจัง เป็นไปไม่ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? หรือจะต้อง “เลือด-ล้าง-เลือด” จนไม่เหลืออะไรให้ล้างอีกต่อไป??? ??? ???