เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องลองหันไปใคร่ครวญพิจารณาถึง “ความอัปยศอดสู” หรือความน่าเกลียด น่าทุเรศ ของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ที่แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง ณ ที่ประชุม “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ขององค์การสหประชาชาติ เมื่อช่วงวันพุธสัปดาห์ที่แล้ว (6 ธ.ค.) ชนิดเรียกได้ว่า...แทบไม่ต่างไปจากชื่อเรื่องหนังไทยเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว โดยคุณ “วัชระ ปานเอี่ยม” หนึ่งในสมาชิกวงเฉลียงบ้านเรานั่นแหละทั่นคือออกไปทาง... “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน!!!
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” วิ่งไล่ยังไงก็ไล่ไม่ทันของกองทัพอิสราเอลในการสังหารหมู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ บรรดาพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในเขตพื้นที่ฉนวนกาซา มาไม่รู้จะกี่เดือนต่อกี่เดือนเข้าไปแล้ว ส่งผลให้แม้แต่ผู้ที่อยู่ในสถานะ “กลางๆ” อย่างเลขาธิการสหประชาชาติ “นายAntonio Guterres” ท่านอดรนทนไม่ไหว ต้องไปงัดเอา “มาตรา 99” ตามกฎระเบียบสหประชาชาติ จัดการเรียกประชุมฉุกเฉินต่อบรรดาสมาชิกสภาความมั่นคงสหประชาชาติจำนวน 15 ประเทศ เพื่อให้หันมาพิจารณาข้อเรียกร้องของประเทศในตะวันออกกลางอย่างสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ที่จะให้มีการ “หยุดยิง”อย่างถาวร ในการทำสงครามระหว่าง “กองทัพอิสราเอล” กับพวก “นักรบฮามาส” ในเขตฉนวนกาซา อันเนื่องมาจากการเข่นฆ่า ล้างผลาญ ทำลาย แบบชนิดไม่เลือกหน้า ไม่เลือกว่าใครเป็นทหารเป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์ของกองทัพอิสราเอล ที่กำลังทำให้เกิด “กลียุคทางมนุษยธรรม” ชนิดโหดร้าย เลวร้าย หนักเสียยิ่งกว่าการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว” ของกองทัพเยอรมนีในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เอาเลยถึงขั้นนั้น...
คือทำให้พลเรือนชาวปาเลสไตน์ ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนแก่คนชรา ฯลฯ เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วไม่น้อยไปกว่า 17,480 คน ผู้คน 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดจำนวนกว่า 2 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย เพราะบ้านเรือนไม่ต่ำกว่า 300,000 หลัง หรือ 60 เปอร์เซ็นต์ของที่อยู่อาศัยชาวปาเลสไตน์ ถูกกองทัพอิสราเอลถล่มชนิดราบเป็นหน้ากลอง นั่นยังไม่นับรวมถึงสถานการศึกษาไม่ต่ำกว่า 339 แห่ง โรงพยาบาลอีก 26 แห่ง เครือข่ายสาธารณสุขกว่า 56 แห่ง สุเหร่า 88 แห่งหรือแม้แต่โบสถ์คริสต์อีก 3 แห่ง ถูกกวาดล้าง เผาผลาญ จนไม่หลงเหลือ “พื้นที่ปลอดภัย” ใดๆ สำหรับผู้คนในอาณาบริเวณ 365 ตารางกิโลเมตรเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น...กระทั่งสำนักงานช่วยเหลือขององค์การสหประชาชาติ อย่าง “UNRWA” (UN Relief and Works for Palestine Refugees in the Near East) ยังถูกทหารอิสราเอลถล่มซะราบคาบพนักงานลูกจ้างตายไปถึง 270 ราย บาดเจ็บอีก 900 ชนิดไม่สนใจหน้าอินทร์ หน้าพรหม ไม่สนใจหน้าไหนต่อหน้าไหน ขอแต่ให้หน้าตาไม่เหมือนบิดา มารดา ตัวกูเองเท่านั้น ก็มีอันต้องถูกฆ่า ถูกล้างผลาญเอาง่ายๆ อันนี้...ถ้าว่ากันตามข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่เลขาธิการสหประชาชาติท่านออกมาแจกแจง ด้วยตัวของตัวเอง...
การหยิบเอา “มาตรา 99” ที่เปิดช่อง เปิดโอกาส ให้เลขาธิการฯ สามารถเรียกประชุมฉุกเฉินสมาชิกสภาความมั่นคงจำนวน 15 ประเทศ ออกมาใช้กับกรณีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความอดรนทนไม่ไหว ความเกินอด เกินทน ของผู้ที่ดำรงสถานะ “คนกลาง” อย่าง “นายAntonio Guterres” ได้เป็นอย่างดี หรือถือเป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี ที่ผู้มีสถานะเช่นนี้จำต้องงัดเอามาตรการดังกล่าว มาใช้เป็นเครื่องมือ เป็นช่องทาง ในการหยุดยั้งความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” ตามไม่ทันของกองทัพอิสราเอล ให้มีโอกาสเป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาได้มั่ง แต่ก็นั่นแหละ...ในจำนวนสมาชิก 15 ชาติอันประกอบไปด้วยตัวแทนจากชาติแอฟริกัน 3 ประเทศ เอเชีย-แปซิฟิก 3 ประเทศ ยุโรปตะวันตก 2 และละตินอเมริกาอีก 2 รวมทั้งสมาชิกถาวรอีก 5 ชาติ คือจีน ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ และอเมริกา ปรากฏว่าแม้ว่า 13 ประเทศจากแต่ละซีกโลก ต่างเห็นพ้องต้องกันที่จะให้ “หยุดยิง” อย่างเป็นการถาวร ขณะที่อังกฤษพยายามซ่อนความอายไว้ใต้หน้ากากแห่งความเป็น “ผู้ดี” ด้วยการ “งดออกเสียง” แต่ด้วยสิทธิในการยับยั้งหรือ “Veto” ของสมาชิกถาวรอย่างอเมริกา ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว ช่องทางแห่ง “สันติภาพ” จึงถูกปิดประตู ลั่นดาน ลงไปอย่างน่าเกลียด น่าทุเรศ หรือ “น่าอัปยศอดสู” เอามากๆ...
“ความล้มเหลว” ของสภาความมั่นคงสหประชาชาติ อันเนื่องมาจากการ “Veto” ของคุณพ่ออเมริกาพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอิสราเอลคราวนี้ ได้ถูกให้คำอธิบายโดยรัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน “นายAyman Safadi” ไว้อย่างน่าขนลุก ขนพองเอามากๆ นั่นก็คือ...ไม่ต่างอะไรไปจาก “การออกใบอนุญาตให้กองทัพอิสราเอลกระทำการสังหารหมู่ (License to massacre) ชาวปาเลสไตน์ได้ตามอำเภอใจต่อไป” นั่นเอง!!! หรือทำให้ข้อเรียกร้องของตัวแทนถาวรประเทศจีนประจำสหประชาชาติ อย่าง “นายZhang Jun” ที่พยายามกู่ก้อง ร้องตะโกน ออกมาว่า... “กลียุคทางมนุษยธรรมครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะหาคำพูดใดๆ มาอธิบาย การรอคอยหรือยืดเวลาออกไปหมายถึงความตายที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ในห้วงระยะเช่นนี้มีแต่ต้องหาทางหยุดยิงเท่านั้น ที่จะหลีกเลี่ยงการนำพาภูมิภาคนี้ให้พ้นไปจากไฟนรกได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง” กลายเป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย ไร้น้ำหนัก ไปโดยทันที ทั้งนั้น ทั้งนี้...ก็ด้วยเหตุเพราะ “ประมุขโลก” ผู้ที่หวังจะดำรงตนเป็นจ้าวโลกต่อไปให้จงได้ อย่างคุณพ่ออเมริกา ยังพร้อมที่จะเลือกข้าง เลือกถือหางพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ตามแบบฉบับ “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” อย่างไม่ได้รู้สึก รู้สา ต่อความเป็นมนุษย์มนาใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้สนใจต่อกระแสเสียง กระแสความต้องการ ของ “ชาวโลก” ที่เห็นพ้องต้องกันกับมาตรการดังกล่าวอย่างเป็นเอกฉันท์ หรือระดับ “13 ต่อ 1” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ลักษณะอาการดังกล่าว มันเลยออกไปทาง “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” กันเห็นๆ!!! หรือทำให้ความเพียรพยายามที่จะดำรงสถานะความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก หรือมหาอำนาจสูงสุดแห่ง “โลกขั้วอำนาจเดียว” ของอเมริกาเลยเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง น่าทุเรศเอามากๆ ในขณะที่ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย กลับได้รับการต้อนรับ ได้รับความชื่นชม ยินดี จากบรรดาชาวโลกทั้งหลาย อย่างแทบไม่มีผู้ใดคิดปฏิเสธเอาเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดจากการออกเดินสาย เดินทางไปเยี่ยมเยือนภูมิภาคตะวันออกกลางของผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” คราวล่าสุดไม่ว่า ณ ประเทศยูเออี หรือซาอุดีอาระเบีย ที่มกุฎราชกุมารเจ้าชาย “MbS” (Mohammed bin Salman) ถึงกับตัดสินใจเลื่อนการเดินทางไปเยือนอังกฤษ เพื่อที่จะได้มีเวลามาปูพรมแดงต้อนรับผู้นำรัสเซียเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้บรรดานักการเมืองประเภท “พรมเช็ดเท้า” ในอังกฤษ ถึงกับออกอาการฉุนเต่า หาว่าเป็นการกระทำที่ดูหมิ่น ดูแคลนอังกฤษผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น “สุนัขพูเดิลของอเมริกา”ไปเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ไม่ว่าความเป็นไปดังกล่าวจะสะท้อนความหมายแบบไหน? อย่างไร? ก็แล้วแต่ การที่ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อเมริกาอย่างรัสเซีย ได้รับการต้อนรับจากบรรดาประเทศในตะวันออกกลางอย่างอบอุ่น ชื่นมื่น ชื่นสะดือ เกิดการยกระดับความร่วมมือไม่เพียงแต่ในกลุ่มประเทศอ่าว ประเทศบริวารของซาอุฯ อย่างเต็มเม็ด เต็มสูบ การเดินทางไปเยือนรัสเซียของผู้นำอิหร่านเมื่อวัน-สองวันนี้ ยังอาจถือเป็น “ชัยชนะ” ของรัสเซียใน “แนวรบตะวันออกกลาง” นอกเหนือไปจาก “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่ “ตัวตลก-ตัวแทน” ของอเมริกาและพันธมิตรยุโรป อย่างยูเครน กำลังตกอยู่ในสภาพใกล้จะถูก “ถีบทิ้ง” เต็มที อีกทั้งความเพียรพยายามของบรรดาชาติยุโรปที่หวังให้ “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” ของรัสเซีย อย่างคุณพี่จีนเลิกคบหาสมาคมกับหมีขาวตัวนี้ ยิ่งกลายเป็น “ความฝันกลางฤดูหนาว” อย่างเห็นได้ชัด เพราะแค่ดูจากตัวเลขการค้าขายระหว่างประเทศทั้งสองในปีนี้ที่พุ่งระเบิดเถิดเทิงเพิ่มขึ้นไปถึง 26.7 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 218,170 ล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา จนส่งผลให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจรัสเซียโตได้ถึง 3.5 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าบรรดาประเทศใดๆ ในยุโรป ที่ตั้งหน้า-ตั้งตาคิดจะ “แซงชั่นรัสเซีย” อย่างไม่ได้คำนึงถึง “ความเป็นไปของโลก” เอาเลยแม้แต่น้อย...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะผู้ที่หวังเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา ดันเอาแต่ “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” โดยไม่ได้คิดหน้า-คิดหลัง ไม่ได้สนใจความเป็นมนุษย์มนา ไม่ได้มีมนุษยธรรมติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย บรรดาสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา มีแต่ต้อง “แพ้...กับ...แพ้” ไปในแนวรบทุกๆ ด้าน และนั่นเองที่จะลากเอาพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ผู้ซึ่งเหี้ยมแสนเหี้ยมแบบชนิด “ม.ม้า” ตามไม่ทัน จนบรรดาชาวโลกทั้งหลายย่อมมิอาจรับได้อีกต่อไป อาจต้องจมดิ่งไปกับความพ่ายแพ้ในขั้นตอนสุดท้าย ระดับถึงขั้นอาจ “ถูกลบทิ้งจากแผนที่” เอาง่ายๆ!!!