เรื่อง “พม่า” แม้จะใกล้ตัว ใกล้บ้าน เพียงใดก็ตาม...แต่คงรอให้เกิดการ “ตกผลึก” อีกสักระยะ ส่วนเรื่อง “ยูเครน” นั้นแทบไม่ต้องเสียเวลารอลุ้น รอบทสรุปใดๆต่อไปอีกแล้ว เหลืออยู่แค่รอเวลาว่าผู้นำประเทศอย่าง “นายValadimir Zelensky” จะถูก “ถีบทิ้ง” ลงไปเมื่อไหร่? ตอนไหน? ด้วยเหตุนี้...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ คงต้องตามไปอัพ-เดต ไปตรวจสอบสถานการณ์การโรมรัน พันตู ระหว่างอิสราเอลกับพวกฮามาสอีกสักเที่ยวน่าจะเหมาะกว่า...
คือแม้กองทัพ “IDF” ของอิสราเอลเขาจะเปิดฉากถล่มฉนวนกาซารอบใหม่ แบบชนิดไม่ได้คิดจะลดความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” ตามไม่ทันเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้สนใจลูกเด็กเล็กแดง ประชาชนพลเรือนผู้บริสุทธิ์ว่าจะตายโหง-ตายห่าไปอีกถึงขั้นไหน จนโฆษก “UNICEF” “นายJames Elder” ถึงกับให้คำเรียกขานสงครามคราวนี้ประมาณว่า...สงครามกับเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา หรือ “This is a war on Children” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังที่จะสร้าง “ระบบควบคุมความมั่นคงปลอดภัย” ภายในพื้นที่ 365 ตารางกิโลเมตร ชนิดไม่ยอมให้เด็กๆ ชาวปาเลสไตน์เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ฯลฯ ต่อชาวอิสราเอลได้อีกต่อไปโดยเด็ดขาด ตามแนวทางและคำประกาศของนายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” อันถือเป็น “เป้าหมาย” หรือ “ยุทธศาสตร์” ของสงครามคราวนี้ ที่ยังมิอาจสรุปได้ว่าจะสิ้นสุด ยุติ ลงไปเมื่อไหร่ จะต้องรบกันไปเป็นทศวรรษๆ เป็นสิบๆ ปี อย่างที่ผู้นำฝรั่งเศส ประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” ออกมาตั้งข้อสังเกตเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้ หรือไม่? อย่างไร?...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...บรรดาผู้ที่ไม่ได้เห็นพ้องต้องกันกับแนวคิด แนวทาง ของผู้นำอิสราเอล ออกจะมีอยู่เยอะแยะ มากมาย แม้แต่อภิมหาพันธมิตรอย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ดูจะยัง “ไม่มั่นใจ” ว่าเป้าหมาย หรือยุทธศาสตร์ดังกล่าว จะสอดคล้องกับความจริง ความเป็นไปได้ มาก-น้อยขนาดไหน? ชนิดรัฐมนตรีกลาโหมผิวสี อย่าง “พลเอกLloyd Austin” ยังอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการ “คันปาก” ต้องยื่นบัตรสมาชิกสมาคมเสือกกิตติศักดิ์ ด้วยการออกมาวิพากษ์วิจารณ์หรือมา “เตือนสติ” อิสราเอลไว้ในเวที “The Regan National Defense Forum” ช่วงวันเสาร์ที่แล้ว (2 ธ.ค.) ว่าอาจเป็น “ยุทธศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้” เอาเลยก็เป็นได้ สำหรับความคาดหวังที่จะเอาชนะพวกฮามาสให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในขณะที่ไม่ได้คิดจะปกป้องผู้คนพลเมืองชาวปาเลสไตน์ ที่ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย เพราะปฏิบัติทางทหารของตัวเอง...
พูดง่ายๆ ว่า...แม้แต่ “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” ก็เถอะ!!! ยังหนีไม่พ้นต้องขออนุญาต “ส.ใส่เกือก” ต้องพยายามฉุดๆ รั้งๆ ให้กองทัพอิสราเอลชะลอความเหี้ยม ความโหด เผื่อว่า “ม.ม้า” จะพอวิ่งไล่ทันขึ้นมามั่ง เพราะการเล่นงานประชาชนผู้บริสุทธิ์แบบไม่คิดจะบันยะ-บันยัง ก็คือ “การทำให้คนเหล่านั้นกลายมาเป็นศัตรูโดยอัตโนมัติ” ชนิดปราบยังไงก็ปราบไม่หมดนั่นเอง หรือกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่จะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เช่นเดียวกับผู้นำตุรเคีย ประธานาธิบดี “Recep Tayyip Erdogan” ที่ออกมากระตุ้น “ต่อมสติ” ของผู้นำอิสราเอลด้วยอีกรายว่าการคิดจะล้างผลาญทำลายพวกฮามาส ให้หมดเสี้ยน-หมดหนาม เป็นสิ่งที่ “ไม่สอดคล้องกับความจริง” หรือ “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” อยู่แล้วแน่ๆ แถมยังอดด่ากราดไปถึงบรรดาประเทศตะวันตก ไม่ว่าอเมริกา-อังกฤษ ว่าแทนที่จะหันมามองหาความเป็นไปได้ในการยุติความขัดแย้งด้วยแนวทาง “The Two-States Solution” อย่างจริงๆ จังๆ กลับหันไปปกป้อง ไปแก้ตัว ให้กับการสังหาร การ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ไปซะนี่!!!
ส่วนคำพูด คำเตือน ที่ออกจะมี “น้ำหนัก” ในการกระตุ้น “ต่อมสติ” ไม่ว่าในแง่แนวคิดหรือการกระทำ ก็น่าจะเป็นคำพูดของ “King Abdullah” แห่งจอร์แดน อันอาจถือเป็นพันธมิตรซึ่งมีอยู่น้อยเต็มทีของอเมริกาและอิสราเอลในตะวันออกกลาง ที่ได้ออกมายืนหยัด ยืนยัน ไว้ตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว ว่าพร้อมที่จะ “ปฏิเสธ” แผนการใดๆ ทุกรูปแบบของอิสราเอล ในอันที่จะควบคุมดินแดนฉนวนกาซา ไม่ว่าจะเรียกว่า “พื้นที่ความมั่นคง” แบบไม่คิดจะยอมให้ชาวปาเลสไตน์มีความรู้สึกโกรธเกลียด เคียดแค้น ชาวยิวทั้งหลายโดยเด็ดขาด รวมทั้งได้สรุปถึง “เหตุปัจจัย” แห่งความขัดแย้งทั้งมวลตลอดเท่าที่เคยเป็นมา ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ แต่มี “น้ำหนัก” เป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ... “รากเหง้าของวิกฤตดังกล่าว ก็คือการที่อิสราเอลปฏิเสธสิทธิอันชอบธรรมของชาวปาเลสไตน์” นั่นเอง อันทำให้ “ไม่มีทางออกทางทหารหรือทางความมั่นคงใดๆ” ที่จะช่วยแก้ไข เยียวยาวิกฤตเหล่านี้ได้เลย...
ไม่ต่างไปจากผู้ที่ถูกเกลี้ยกล่อมครั้งแล้ว ครั้งเล่า ให้กลายเป็นพันธมิตรอเมริกาและอิสราเอลให้จงได้ อย่างรัฐบาลอียิปต์การไม่คิดจะรับเอาบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่พยายามหนีตายไปเป็น “ผู้ลี้ภัย” ในดินแดนอียิปต์ คงไม่ได้เป็นเพราะความใจจืดใจร้าย ใจดำ แต่อย่างใด แต่คือ “การปฏิเสธ” ต่อเป้าหมายและยุทธศาสตร์ของอิสราเอล ที่พยายามหาทางควบคุมพื้นที่ฉนวนกาซาเพื่อหวังจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามความปรารถนาความต้องการของตัวเอง อันย่อมส่งผลทำให้ผู้ลี้ภัยทั้งหลาย แทบไม่คิดจะกลับบ้าน-กลับช่องเนื่องจากไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนฉนวนกาซาได้เหมือนเดิมอีกต่อไปตลอดชั่วนิรันดร์กาลเอาเลยก็เป็นได้...
ดังนั้น...ไม่ว่าผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายNetanyahu” จะใส่เกียร์เดินหน้า เพิ่มความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” กันไปถึงขั้นไหน หรือคิดจะ “ลากยาวว์ว์ว์” สงครามไปอีกนานเท่าไหร่ แต่โอกาสที่จะขจัดความโกรธ ความเกลียด ของบรรดาชาวปาเลสไตน์ให้หายเกลี้ยงไปจากความคิด ความรู้สึก ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ มีแต่จะยิ่งไปเพิ่มความ “เปรี้ยวมือ-เปรี้ยวตีน” ให้กับบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกอาหรับ ที่ต้องยืนเบิ่งตาดูความเหี้ยม ความโหดดังกล่าว อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าพวก “Ansar Allah” หรือพวกกบฏ “Houthi” ในเยเมน ที่ไม่อาจ “เอามือซุกหีบ” ได้อีกต่อไป ต้องหันไปสาดจรวด สาดโดรนใส่อิสราเอล ไปจนแม้แต่เรือพิฆาตอเมริกา ที่ลอยลำป้วนเปี้ยนคอยช่วยปกป้อง คุ้มครองอิสราเอลแถวๆ ช่องแคบ “Bab al-Mandab” ในทะเลแดง อย่างเรือ “USS Carney” ยังไม่วายถูกโดรนเยเมน-เมด อิน อิหร่าน พุ่งเข้าใส่กันไปมั่งแล้ว ชนิดต้องปัดๆ ป้องๆ เป็นพัลวัน แถมยังพร้อมเดินหน้ายึดเรืออิสราเอลทุกชนิดไม่ให้ผ่านเข้า-ผ่านออก อย่างเป็นงาน-เป็นการ...
ส่วนจะไปตอบโต้-เอาคืน...ก็ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่พอสมควร เพราะสงครามที่พันธมิตรอิสราเอลกระทำต่อพวกฮามาสในทุกวันนี้ มันได้ทำลาย “ความชอบธรรม” ลงไปตามลำดับ การปกป้อง คุ้มครองอิสราเอล ด้วยการหันไปเล่นงานไม่ว่าพวกกบฏเยเมน พวกเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน พวกมุสลิมชีอะห์ในอิรัก ซีเรีย ไปจนถึงอิหร่านโน่นเลย ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดการ “ขยายวงสงคราม” แต่ยังอาจทำให้ตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์” จนอาจต้องมีมุมจบแบบที่อดีตปรมาจารย์สงคราม อย่าง “ท่านประธานเหมา” ได้สรุปไว้เป็นแนวคิด-ทฤษฎีนั่นแหละว่า “แพ้ทางการเมืองเท่ากับแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง...ชนะทางการเมืองเท่ากับชนะทุกสิ่งทุกอย่าง”...
ดังนั้น...ถ้ามองถึง “เป้าหมาย” หรือ “ยุทธศาสตร์” ของอิสราเอลในการทำสงครามคราวนี้ ก็คงต้องสรุปว่าถือเป็น “ความพ่ายแพ้” ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะสามารถเอาชนะในทางทหารอีกสักกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตามที ขึ้นอยู่กับจะพร้อมยอมรับสภาพดังกล่าวอีกสักเมื่อไหร่? ตอนไหน? เท่านั้น และถ้าต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอิสราเอลในท้ายที่สุด ไม่ว่าด้วยการ “หยุดยิง” หรือการหันไป “ตั้งโต๊ะเจรจา” กันแทนที่ โอกาสที่ผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรี “Netanyahu” จะสามารถชูคออยู่ในสถานะตำแหน่งอีกต่อไป ก็น่าจะยากลำบากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น โอกาสที่จะถูก “ถีบทิ้ง” ไม่ว่าโดยประชาชนของตัวเอง หรือโดยอภิมหามิตรอย่างอเมริกา ที่อุตส่าห์ “ลงทุน” ไปเยอะแล้ว สำหรับการก่อร่างสร้างประเทศนี้ขึ้นมา ดังที่คุณปู่ “โจ ซึมเซา” ท่านได้สรุปเอาไว้ก่อนหน้านี้ ย่อมน่าจะคุ้มค่า คุ้มราคา ยิ่งกว่าการปล่อยให้ “ประเทศอิสราเอล...ถูกลบทิ้งไปจากแผนที่” เป็นไหนๆ...
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่ากองทัพ “IDF” จะเพิ่มความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ไปถึงขั้นไหน หรือไม่ว่าสงครามจะถูกลากยาวไปอีกนานเท่าใด แต่โดยสรุปสุดท้าย...ผลพวงของสงครามดังกล่าว ย่อมต้องส่งผลให้ “แนวรบตะวันออกกลาง” ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป โอกาสที่อเมริกาและพันธมิตรหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างอิสราเอล จำต้องลดบทบาท อิทธิพล ที่เคยมีมาต่อภูมิภาคแห่งนี้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ และนั่นเท่ากับย่อมถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ไปยังแนวรบทุกๆ ด้าน ถึงความพ่ายแพ้ที่จะค่อยๆ คืบคลานเข้ามาสู่ผู้เพียรพยายามดำรงตนเป็น “ประมุขโลก” ผู้ที่ความปรารถนาและต้องการที่จะคงความเป็นจ้าวโลก ให้ต้องค่อยๆ เลือนหายและสูญสลายไปในท้ายที่สุด...นั่นแล...