xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของ “ปรัชญาตะวันตก” (ตอนยี่สิบเอ็ด) คำคมของ“เอมมานูเอล คานท์”?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หนังสือเรื่อง “Critique of Pure Reason” ของ “เอมมานูเอล คานท์”

“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

“ความเลวของสงคราม คือ มันสร้างคนชั่วเพิ่มมากขึ้นกว่าเอาชีวิตคนชั่วไป”!!!


นั่นเป็นหนึ่งใน “คำคม” ของ “นักปรัชญา” ชาวเยอรมัน ที่รักสงบและไม่ชอบท่องเที่ยว นาม “เอมมานูเอล คานท์” ซึ่งชาวโลกก็เชื่อเช่นนั้น เพราะ “สงคราม” กำหนดไม่ได้เลยว่า “คนชั่ว” จะลดน้อยหายไปกับ “สงคราม” ตรงกันข้าม!.. บางครา..“สงคราม” ยังชี้ให้เห็นว่า “คนดี” มากมหาศาลต่างหาก ที่ต้องบาดเจ็บล้มตายมากกว่า “คนชั่ว” หรือ “ผู้มีอำนาจ”กับพรรคพวกที่สามานย์เสียอีก! ฯลฯ
“สงคราม” ใหญ่น้อย เกิดจาก “สมอง” และ “ความโลภ” ของ “ผู้มีอำนาจทางการเมือง” กับ “ผู้นำกองทัพ” อีกทั้ง “ผู้นำทางธุรกิจ” โดยมี “กลไกรัฐทุกส่วน” ทั้ง “ฝ่ายชนะ” และ “ฝ่ายพ่ายแพ้” ให้การสนับสนุนปฏิบัติการใน “ทุกสงคราม”
มี “ผู้คนเพียงน้อยนิด” ที่ประสบ “ความร่ำรวย” อย่างมหาศาล จากการค้า “อาวุธ-อุปกรณ์สงคราม” รวมทั้ง “อาหาร-ยารักษาโรค” กับสิ่งของนานัปการ ฯลฯ
ดังนั้น ขณะที่ “ทหาร” กับ “ประชาชน” ทั้ง “รู้” และ “ไม่รู้” อิโหน่อิเหน่กับ “ต้นเหตุสงคราม” ล้วนต้อง “บาดเจ็บล้มตาย” กันอย่างมากมาย จากการปลุกระดมด้วยหลากวาทกรรม ที่เป็นเอกภาพและทรงพลัง ของ “ผู้นำชาติ” “ผู้นำทางทหาร” อีกทั้ง “ผู้นำทุกภาคส่วน” โดยอ้างถึงความ “รักชาติ รักแผ่นดินเกิดยิ่งชีวิต” ฯลฯ
“ผู้นำชาติ” และ “ผู้นำทางทหาร” ทั้งหลาย จะออกมาสรรเสริญ “ผู้ล้มตายในสงคราม” ซึ่ง “ตายแทนพวกเขา” ยกย่องเชิดชูให้เป็น “วีรชนของชาติ” ฯลฯ
อ้าว!..จะพูดถึงคำคมของ “คานท์” แต่ดันลากยาวไปถึงสนามรบ.. กลับมาค้นหาแนวคิดจาก “คำคมคานท์” กันดีกว่า..
“คานท์” เริ่มต้นว่า “แม้ว่าความรู้ทั้งหมดเกิดจากประสบการณ์ แต่ความรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดจากประสบการณ์” คำคมนี้ตรงไปตรงมา ไม่ต้องขยายความให้เสียเวลา..จริงไหม?
ส่วนคำคมที่ว่า “อดทนไว้สักพัก คำใส่ร้ายป้ายสีไม่เคยมีอายุยืนยาว” อืม..จริงแท้แน่นอน! อดทนไว้นะจ๊ะ?
“ความจริงเป็นเหมือนเด็กแห่งกาลเวลา ในเวลาไม่นาน มันจะปรากฎตัว และทำให้เจ้าพ้นคำครหา” ใช้ “ความจริง” เป็น “กุญแจสำคัญ” ที่จะ “ไข” หรือทำลาย “ความชั่ว” ช่วย “คนดี” ให้พ้นภัยจาก “คนชั่วที่มีอำนาจ” ได้!
“คานท์” ระบุว่า “วิทยาศาสตร์คือความรู้ที่เอามาจัดให้เป็นระเบียบ ปัญญาคือชีวิตที่เป็นระเบียบ”

“คานท์” ยังมองว่า “เมื่อมองโดยรวม อาจมองได้ว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ คือการตระหนักรู้ถึงธรรมชาติที่ซ่อนเร้นไว้ นั่นคือธรรมชาติที่นำเราไปสู่สถาบันทางการเมือง มันเป็นการตระหนักรู้ทั้งจากภายในและภายนอกตัวเรา มัน(สถาบันการเมือง)เป็นสิ่งเดียว ที่จะทำให้ความสามารถของมนุษย์ที่ถูกปลูกฝังไว้ พัฒนาไปอย่างเต็มที่” อืม..ประเด็นนี้ “คานท์”พู ดเสียยืดยาว ก่อนจะหันมาพูดถึงตัวเองในเรื่องของ “เกียรติ”ว่ า..

“ในขณะที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่จำเป็นที่ข้าฯจะต้องอยู่อย่างเป็นสุข แต่จำเป็นที่ข้าฯควรจะอยู่อย่างมีเกียรติ”
ชีวิตที่อยู่และตายอย่างมีเกียรติ บนฐานของเหตุผลอันถูกต้อง เป็นสิ่งที่ “ปู่คานท์” ยึดถือ!
ดังประโยคนี้ “ใจของมนุษย์ ปฏิเสธที่จะเชื่อในจักรวาลที่ปราศจากเป้าหมาย” จริงว่ะ! ไม่มีเป้าหมายย่อมไร้ความหมายเนอะ “ปู่คานท์” ?
“หน้าที่ที่แท้จริงของรัฐ คือ การกำหนดข้อจำกัดให้น้อยที่สุด และปกป้องเสรีภาพของประชาชนให้มากที่สุด อีกทั้งต้องไม่มีทัศนะว่า คนเป็นวัตถุ” เฮ้อ..เป็นวัตถุก็ยังดีน่ะ..เพราะ “เหลี่ยม” เห็น “คน” เป็น “สุนัข” เลยนะ!

“คานท์” ยังบอกต่ออีกด้วยว่า “ความลึกลับอันเป็นนิรันดร์ของโลก คือ ความสามารถของมันที่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้”

เออจริง! “ความลึกลับ” ในโลกมีเยอะแยะตาแป๊ะไก่! “นักวิทยาศาสตร์” ในอดีตจรดปัจจุบัน ได้ค้นคว้าเปิดเผยให้ชาวโลกรู้มาแล้วตั้งมากมาย แต่เรื่องเหลือคณานัปยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และเรื่องอีกนับไม่ถ้วนยังคงเป็น “ความลับนิรันดร์ของโลก” อยู่นะ

“พึงระลึกไว้เสมอว่า ปัจเจกชนคือเป้าหมาย และอย่าได้ใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือ เพื่อเข้าถึงเป้าหมายของตนเอง”

ถ้อยคำสั้นๆ ของ “คานท์” นี้สำคัญยิ่ง! “อย่าใช้เขาเป็นเครื่องมือ เพื่อเข้าเป้าหมายของตนเอง” ขอเติมคำว่า“ พรรค” ด้วยได้ไหม? “คานท์” รู้ไหมล่ะว่า “นักการเมืองไทย” ใจร้ายม้ากมาก นอกจากจะหลอกประชาชนอยู่เสมอแล้ว ยัง “หลอกลวงเยาวชน” ให้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมเดินขบวน ทำผิดกฎหมายทางการเมือง จนบรรดา “แกนนำเยาวชน” ถูกดำเนินคดีเป็นหางว่าว บ้างต้องหนี บ้างต้องติดคุก เสียอนาคตทางการศึกษาและการงาน ฯลฯ

ด้วยผลงาน “ผู้ใหญ่หลอกเด็ก” จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บรรดา “นักการเมือง” สามานย์เหล่านั้น ได้เข้าไปเป็น “ส.ส.ในสภา” อันทรงเกียรติ! ได้ลอยหน้าลอยตาเสวยสุขกันทุกตัวคน บ้างเป็น “นายกฯ-รัฐบาล-รัฐมนตรี” บ้างเป็น “ส.ส.ฝ่ายค้าน”!

“ประสบการณ์ที่ไร้ทฤษฎี คือความมืดบอด แต่ทฤษฎีที่ปราศจากประสบการณ์ ก็เป็นเพียงการแสดงว่าตนเองมีความรู้” และ “หากต้องการเป็นเช่นใด ก็จงลงมือทำเช่นนั้น” อีกทั้ง “ความสุขไม่ใช่อุดมคติของเหตุผล แต่คืออุดมคติของจินตนาการ” อืม..อุดมคติ-อุดมการณ์-จินตนาการ-ความสุข เป็นเรื่องที่ “คานท์” เน้นเป็นหลักเลยนะ
ครานี้มาถึงเรื่อง “เมตาฟิสิกส์ (การศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริง และความเกี่ยวพันระหว่างจิตใจกับวัตถุ) คือมหาสมุทรอันมืดมิด ที่ปราศจากชายฝั่งหรือประภาคาร และเต็มไปด้วยซากปรักหักพังทางปรัชญา ภายใต้กฎหมาย เรามีความผิดต่อเมื่อเราละเมิดสิทธิของผู้อื่น ภายใต้จริยธรรม เรามีความผิดตั้งแต่เมื่อเราคิดเช่นนั้น”
เอ๊ะ! “คานท์” ห่วงเรื่องละเมิดสิทธิผู้อื่น.. แต่ที่เมืองไทย “นักการเมืองบางกลุ่ม” ไม่สนเรื่องนี้ว่ะ..!
“สัญชาตญาณและความคิด ทำให้เกิดองค์ประกอบของความรู้ ฉะนั้น ทั้งความคิดที่ไม่รับรู้สัญชาตญาณที่สื่อสารมาในบางครั้ง หรือสัญชาตญาณที่ปราศจากความคิด จะส่งผลไม่ให้เกิดความรู้ขึ้นมาได้”
และ “มีสองสิ่งที่เติมเข้ามาในหัวของข้าฯ มันเป็นสิ่งแปลกและน่าฉงนมากขึ้นเรื่อยๆ และข้าฯ ไม่เคยพบมันมาก่อน สิ่งแรกคือ สรวงสวรรค์ที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือหัวข้าฯ สิ่งที่สองคือกฎแห่งศีลธรรมที่อยู่ในตัวข้าฯ”
แหม..เรื่องที่ “นักปรัชญาตะวันตก” มิใช่น้อย คิดไม่ต่างจาก “เอมมานูเอล คานท์” ที่คิดและเขียนหนังสือเผยแพร่เรื่องของสังคม มีทั้งเรื่อง “ดีงาม” และเรื่อง“เลวทราม” ของ “มนุษย์ทั่วไป” เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “ชั่วช้าสามานย์” ของ “ผู้นำชาติ” กับ“ผู้นำโลก” รวมทั้ง “ผู้นำพ่อค้านักธุรกิจ-ผู้นำข้าราชการ-ผู้นำวิชาชีพ” ฯลฯ ซึ่งเป็น “คนส่วนน้อย” ในสังคมโลก

การกระทำของบรรดา “ผู้นำมีอำนาจ” ที่มักฉวยโอกาสโกงชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ ส่วน “ผู้นำชาติมหาอำนาจโลก” ก็มักใช้อำนาจบาตรใหญ่ทาง “การเมือง-กองทัพ” เข้าแทรกแซง “ชาติที่อ่อนแอกว่า” ให้ยอมสยบ หากแข็งขืนจะถูก “กองทัพบุกยึด” เพื่อกอบโกยผลประโยชน์นานัปการ รวมทั้ง “ทรัพยากรสำคัญ” ในการผลิตสินค้า โดยเฉพาะสินค้าด้าน “ดิจิทัล” อันเป็นที่ต้องการของชาวโลก ฯลฯ

ทำให้ “ลัทธิไล่ล่าอาณานิคม”ยังคงดำรงอยู่ จากอดีตถึงปัจจุบันรวมถึงอนาคต เพียงแต่ได้พัฒนา“รูปแบบ”ให้หลากหลายมากขึ้น
ทว่า! บางครั้ง “ชาติที่แข็งแรงกว่า” ยังต้องใช้ “สงคราม” มาบีบบังคับกดขี่ “ชาติอ่อนแอกว่า” โดย “องค์การสหประชาชาติ” เป็นได้แค่ “เสือกระดาษ” ด้วยไร้ “อำนาจจริง” อันมีศักยภาพ จึงไม่สามารถหยุดยั้ ง“ชาติมหาอำนาจ ”ให้ “ยุติ” สภาพของ “สงครามอธรรม”ได้..จริงไหม?

“คานท์” เสียชีวิตไปนานแล้ว..จึงไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นกับตาว่า กลุ่มชาติมหาอำนาจตะวันตกอย่าง “อเมริกา-กลุ่มชาติยุโรป” ทั้งหลาย ฯลฯ ได้ก่อ “สงครามอธรรม” น้อยใหญ่ตามมุมต่างๆบนโลก โดยองค์กร “สหประชาชาติ” ที่มีภาพลักษณ์ดูขลังน่าเกรงขาม แต่ไร้ศักยภาพโดยสิ้นเชิง! ไม่สามารถสั่งบรรดา “ชาติมหาอำนาจ” ให้ทำตามกฎบัตรใดๆ ได้เลย!?
ฉะนั้น..คำคมของ “คานท์” ที่โดนใจผมในสถานการณ์นี้ก็คือ..

“ความเลวของสงครามคือ มันสร้างคนชั่วเพิ่มมากขึ้นกว่าเอาชีวิตคนชั่วไป”!!!
“ผู้มีอำนาจ” ที่เป็นคนส่วนน้อย “ก่อสงคราม” ขึ้นมากมาย! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อเกิด “สงครามโลก 2 ครั้ง”! รวมทั้งยัง“ก่อสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า”! แต่ไฉน “ผู้มีอำนาจ” กับ “ส.ส.ชั่วช้า”ยั งคงอยู่ดีมีสุข?

สถานการณ์โลกวันนี้ จึงตรงกับ “คำคมคานท์”! ส่วน “คำถาม” มากมาย ก็ยัง “ไร้คำตอบ” แลเห็นแต่ “ผู้คนล้มตาย” ลงทุกวี่วัน..!


กำลังโหลดความคิดเห็น