xs
xsm
sm
md
lg

10 ประเด็น ข้อเท็จจริง การชุมนุมสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ปี 2551 / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ขณะเดินทางมายังศาลในฐานะจำเลยปากสุดท้าย ในคดีการชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551  ที่ศาลอาญา
ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

หลังจากที่ผมได้ไปเบิกความเมื่อวันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ศาลอาญารัชดาภิเษก ในคดีการชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 เป็นที่เรียบร้อย และได้ให้การต่อการซักค้านของอัยการเสร็จสิ้นครบถ้วนกระบวนความ
 
โดยศาลอาญาท่านได้นัดฟังคำพิพากษาคดีสนามบินชุดที่ 1 เป็นวันที่ 18 ธันวาคม 2566 มีจำเลย 36 คน ในจำนวนนี้มีทั้งแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เหลืออยู่ ซึ่งรวมถึง  พลตรีจำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณพิภพ ธงไชยและคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข ฯลฯ

ส่วนชุดที่ 2 มีจำเลย 67 คน ศาลอาญานัดหมายจำเลยทุกคนในวันที่ 20 ธันวาคม2566 เพื่อแจ้งจำเลย นัดวันอ่านคำพิพากษา ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณเดือนมีนาคม 2567

อย่างไรก็ตาม การเบิกคำของผมครั้งนี้ ได้นำเสนอตั้งแต่ภาพรวมตั้งแต่เหตุของการชุมนุมจนถึงประเด็นรายละเอียดทั้งหมด โดยให้เนื้อหาในแบบฟอร์มอของศาลมีความหนามากถึง 118 หน้า ซึ่ง มีประเด็นทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง นำเสนอเป็นหลักฐานมากกว่า 150 ชิ้น ซึ่งได้ถูกนำมาเรียบเรียงเพื่อเสนอให้เห็นถึงความเป็นมาทั้งระบบ
 
อย่างไรก็ตาม นอกจากการหักล้างประเด็นส่วนตัวแล้ว เห็นว่ามีข้อเท็จจริงในภาพรวม 10 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 ดังนี้

 ประเด็นแรก การต่อต้านของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน เพราะในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยมีการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องจริงและมีคำพิพากษาให้ลงโทษตามกฎหมายเป็นที่ยุติเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วถึง 12 คดี เช่น คดีซื้อขายที่ดินรัชดา, คดียึดทรัพย์46,000 ล้านบาท, คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป, คดีแก้ไขสัญญาสัมปทานเพื่อเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป, คดีเลื่องภาษีหุ้นชินคอร์ป ฯลฯ

ในขณะที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนมุ่งที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพื่อล้มล้างผลการตรวจสอบคดีทุจริตคอร์รัปชันทั้งหมด เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนายทักษิณชินวัตรและพวก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชกิจจานุเบกษาพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรนั้น ชัดเจนว่า นักโทษชายทักษิณได้นำความกราบบังคมทูลว่าได้เคารพในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยอมรับในการกระทำผิดแล้ว และมีความสำนักในความผิดแล้ว
 
ดังนั้น การที่คดีการทุจริตคอร์รัปชัน 12 คดีที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และพวกได้ดำเนินการมาจนมีคำพิพากษานำผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้สำเร็จ องค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จก็เพราะการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ได้เป็นองค์กรที่สำคัญที่สุด

ดังนั้น การชุมนุมต่อต้านพรรคพลังประชาชนอย่างต่อเนื่อง มิให้แก้ไขรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 มาตรา 309 เพื่อมิให้ล้มล้างผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นอกจากจะเป็นการดำเนินการเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามมาตรา 69 แล้ว ยังเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติอันเป็น* “หน้าที่ของปวงชนชาวไทย” ตามที่ได้บัญญัติเอาไว้ในมาตรา 71 ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย

“มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย”

 ประเด็นที่สอง การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านรัฐบาลซึ่งได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องจริง และมีคำพิพากษาลงโทษพรรคการเมืองเป็นที่ยุติแล้ว 2 คดี

คดีที่ 1 คดีที่พรรคไทยรักไทยที่จ้างพรรคการเมืองอื่นมาเชิดเป็นคู่แข่งเทียมในเขตเลือกตั้งปรากฏตามตามคําวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550 วันที่ 30 พฤษภาคม 2550
 
คดีที่ 2 พรรคพลังประชาชนได้มีกรรมการบริหารพรรคกระทำการซื้อเสียงทุจริตการเลือกตั้ง จึงเท่ากับพรรคพลังประชาชนได้อำนาจมาด้วยการโกงการเลือกตั้งปรากฏตามคําวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 20/2551 ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550
 
โดยรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ระบุเอาไว้ในมาตรา 68 ข้อความตอนท้ายว่า
 

“บุคคลใดจะใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้”

ดังนั้นเมื่อพรรคพลังประชาชนได้อำนาจมาโดยมิชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพราะโกงการเลือกตั้งมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงย่อมมีสิทธิต่อต้านการได้อำนาจมาโดยมิชอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา 69 ที่ว่า

“มาตรา 69 บุคคลมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งกระทำการใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้”

ดังนั้น การคัดค้านและต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชนนอกจากจะเป็นการใช้สิทธิต่อต้านการได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญตามมาตรา 69 แล้ว ยังคัดค้านไม่ให้มีแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อยกเลิกความผิดคดียุบพรรคหลังการโกงการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนสำเร็จไปแล้วอีกด้วย

 ดังนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้ทำหน้าที่ปกป้องระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ ตามมาตรา 70 อีกด้วยที่ว่า

“มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้”

 ประเด็นที่สาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐบาลเป็นไปโดยสุจริตและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ปรากฏเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมิ่นประมาทยกฟ้องแกนนำพันธมิตร 2 คดี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13699/2557 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15927/2557 เป็นคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดพันธมิตรชนะฟ้องคดีตำรวจสลายการชุมนุม 7 ตุลา 2551 1 คดี ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดีหมายเลขแดงที่ อ.1442/2560 และชนะยกฟ้องในชั้นศาลอุทธรณ์คดีที่อัยการฟ้องการชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ตุลา 2551 อีก 1 คดี คือ คดีหมายเลขดำที่ อ.4924/2555

แสดงให้เห็นว่าเนื้อหาและเหตุผลของการชุมนุมเป็นความจริง พรรคพลังประชาชนพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเองเป็นเรื่องจริง การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเรื่องจริง แม้แต่การชุมนุมขับไล่รัฐบาลจนถึงการชัดขวางไม่ได้รัฐบาลที่มาจากการโกงการเลือกตั้งไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เป็นสิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

 ประเด็นที่สี่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นอกจากจะยืนยันด้วยเจตนารมณ์ในแถลงการณ์ทุกฉบับแล้ว ยังมีผลลัพธ์ต่อมารวมถึงการคัดค้านแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชา เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ปรากเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 6-7/2551 การลงนามแถลงการณ์ร่วมของไทยต่อรัฐบาลกัมพูชา ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียอาณาเขต จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190

จากหลักฐานข้างต้นย่อมแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นลักษณะ “การทำหน้าที่”พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้” ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 ที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและความปลอดภัยของรัฐธรรมนูญ 2550

 ประการที่ห้า เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ “ทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทย” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71 การ “ใช้สิทธิ” พิทักษ์รัฐธรรมนูญตามมาตรา 69 เพื่อต่อต้านการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ และเลือกวิธีการชุมนุมสาธารณะตามมาตรา 63

โดยเวลานั้นพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เลือกวิธีการหลายวิธี คือแถลงการณ์ไปแล้ว 9 ฉบับ จัดสัมมนาหลายครั้ง ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด เข้าชื่อถอดอถอน ส.ส. แต่รัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชนยังคงเดินหน้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 และ 237 เพื่อฟอกความผิดให้คดีทุจริตเลือกตั้ง และทุจริตเลือกตั้ง จึงต้องอาศัยวิธีการชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเป็น “เสรีภาพ” ที่ได้ถูกรับรองเอาไวในรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 63 ความว่า

“มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ “

มาตรา 63 วรรคสองเขียนต่อด้วยว่า “การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ”

หมายความว่าเสรีภพการชุมนุมจะถูกจำกัดไม่ได้ ตราบใดที่ดำเนินไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ จนกว่าจะมีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ หรือมีกฎหมายอื่นใดว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะโดยเฉพาะ

ซึ่งในปี 2551 ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายการชุมนุมสาธารณะเป็นการเฉพาะตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ดังนั้นจะอาศัยกฎหมายอาญาฉบับอื่นมาลงโทษผู้ชุมนุมสาธารณะย่อมกระทำมิได้

ยิ่งไปกว่านั้นการไม่มีกฎหมายเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับข้อห้ามใน “เสรีภาพ” การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะกรณีการใช้ “สิทธิ” และ “ทำหน้าที่” ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติเอาไว้ การจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมจึงยิ่งจะกระทำมิได้

พันธมิตรฯจึงเป็นผู้ที่ควรได้รับการคุ้มครองในการใช้สิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการใช้สิทธิและการทำหน้าที่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นไปโดยเจตนาสุจริตเพื่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติในสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติและอันตรายร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องจริงและได้รับการพิสูจน์ต่อมาด้วยคำพิพากษาจำนวนมาก

 ประการที่หก พฤติการณ์ของพรรคพลังประชาชนที่ได้อำนาจมาโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นรากฐานทำให้เกิดบิดเบือนและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมจำนวนมาก ทำให้เป็นเหตุอันสำคัญที่ทำให้ต้องมีการชุมนุมสาธารณะเพื่อเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะกดดันต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของพรรคพลังประชาชนนั้น ได้รวมถึง การโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ การโยกย้ายข้าราชการตำรวจ การเข้ายื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้องทั้งคดีการทุจริตคอร์รัปชันและคดีการยุบพรรคจากคดีทุจริตการเลือกตั้ง การละเมิดอำนาจศาลโดยนำเงิน 2 ล้านบาทใส่ถุงขนมให้กับสำนักงานศาลยุติธรรมตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 4599/2551 การปลอมแปลงเอกสารในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อช่วยเหลือคดีการทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน

นอกจากนั้น ยังมีขบวนการบ่อนทำลายภาคประชาชนด้วยการดำเนินคดีต่อแกนนำและแนวร่วมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก เพื่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเกิดอุปสรรคในการชุมนุมซึ่งรวมถึงคดีหมิ่นประมาท และคดีการชุมนุมในคดีนี้ด้วย


โดยภายหลังจากการที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยุติบทบาทไปเนื่องด้วยมีข้อจำกัดจากเงื่อนไขประกันตัวของศาลในคดีการชุมนุม ในปี 2556

ยิ่งทำให้เห็นว่าขบวนการนิรโทษกรรมล้างความผิดด้วยการลุแก่อำนาจมากขึ้น

เพราะต่อมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้พยายามในการเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้การได้มาของวุฒิสภาทำลายลักษณะสาระสำคัญของระบบสองสภา ปราฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556

รวมถึงต่อมาคือ ส.ส.พรรคเพื่อไทยผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อช่วยเหลือคดีที่มีการทุจริตทั้งหมดให้กับนายทักษิณ ชินวัตร จนเกิด กปปส. และการรัฐประหารต่อมา

แม้ในเหตุการณ์ปัจจุบันนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ ชินวัตร ก็ได้อภิสิทธิ์เหนือนักโทษทั่วไป ด้วยเพราะไม่ได้อยู่ในเรือนจำเลยแม้แต่วันเดียวจนเกือบ 3 เดือนแล้วทำให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยในความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมต่อประชาชนจนได้ถูกเรียกว่าเป็นนักโทษเทวดา
การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมด้วยวิธีการต่างๆ ที่ผ่านมาจึงเป็นเรื่องที่สมควรแก่เหตุในปัญหาที่สลับซับซ้อนและมีเครือข่ายมาก

เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่ร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อต่อสู้กับปัญหาภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐ เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่เกิดจากขบวนการทำลายหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมในกระบวนการยุติธรรม

ดังนั้น การตรวจสอบและการต่อต้านของภาคประชาชนด้วยการชุมนุมสาธารณะ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อระบอบการปกครองในทุกยุคทุกสมัย เพื่อไม่ให้รัฐบาลที่ได้อำนาจในแต่ละยุคสมัยใช้อำนาจไปในทางมิชอบเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง อันเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ในเวลานั้น

  ประการที่เจ็ด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยึดถือแนวทางการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธมาโดยตลอด มีการเปิดเผยการเคลื่อนไหวต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนด้วยแถลงการณ์ทั้ง ๒๙ ฉบับ ปรากฏเป็นตัวอย่างที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใช้วิธีแถลงการณ์เพื่อยืนยันการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเช่นเดิม และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัดในทุกกรณี

 ประการที่แปด นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทำต่อผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งพันธมิตรฯชนะคดี คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.1442/2560


หลังจากนั้นเป็นต้นมาได้เกิดเหตุที่มีผู้ยิงอาวุธสงครามเป็นระเบิดและปืนใส่ผู้ชุมนุมและสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV อย่างต่อเนื่อง จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกจำนวนมากโดยไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐมารักษาความปลอดภัย หรือจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้เลยแม้แต่คนเดียว

ทั้ง ๆ ที่เป็นการใช้อาวุธสงครามยิงเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลใจกลางพระนครอย่างต่อเนื่อง อันจะถือได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนั้นจงใจปล่อยปละละเลย รู้เห็นเป็นใจสมรู้ร่วมคิด หรืออาจจะเจตนาร่วมมือหรือกระทำการเองด้วย จึงจะสามารถทำความรุนแรงเช่นนี้ได้

โดยผู้ชุมนุมถูกกระทำด้วยความรุนแรงด้วยอาวุธสงครามร้ายแรงจากเดือนตุลาคม 2551 เฉลี่ยความถี่ทุก ๆ 6.2 วันจะเกิดขึ้น 1 ครั้ง

แต่ในช่วง 23 วันแรกของเดือนพฤศจิกายน เกิดเหตุความรุนแรงยิงระเบิดใส่ผู้ชุมนุมถึง 7 ครั้ง คิดเป็นความถี่เพิ่มขึ้นทุกๆ 3.3 วัน จะเกิดขึ้น 1 ครั้ง

รวมเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงด้วยอาวุธสงครามมีความถี่เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 2 เท่าตัว

และตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 รวมกันมากถึง 11 ครั้ง รวมผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนมากหลายร้อยคน

และนี่คือเหตุผลที่พันธมิตรฯออกแถลงการณ์ฉบับที่ 24/2551 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ให้ระดมประชาชนมาให้มากที่สุดในวันที่ 23 พฤศจิกายน2551 โดยยืนยันว่าไม่สามารถที่จะให้ประชาชนอยู่ในที่ตั้งได้อย่างปลอดภัยจากการถูกทำร้าย เพื่อขับไล่รัฐบาลให้เร็วที่สุด เพราะรัฐบาลไม่รับผิดชอบต่อการล้มตายของประชาชนจำนวนมาก

แต่เมื่อประชาชนมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 แล้ว ซึ่งเป็นวันที่ระดมมวลชนมากแล้วก็ไม่ได้เดินทางไปที่ท่าอากาศยานดอนเมืองหรือท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงอยู่ที่เดิม

แต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 ได้มีผู้ชุมนุมบางกลุ่มตัดสินใจเดินทางไปที่ท่าอากาศยานดอนเมืองโดยปราศจากมติแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยในเวลานั้นท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นที่ตั้งที่ทำการชั่วคราวของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งพื้นที่จราจรหน้าอาคารชั่วคราวทำเนียบรัฐบาลไม่สามารถเป็นเหตุในการปิดสนามบินได้เลย

จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ผู้ชุมนุมอีกกลุ่มเดินทางไปที่เส้นทางจราจรหน้าอาคารผู้โดยสารขาออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

โดยการชุมนุมบริเวณท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง ไม่ได้มีแถลงการณ์ว่าเป็นมติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแต่อย่างใด

โดยในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 2 ธันวาคม 2551 รวมเวลา 9วันมีเหตุการณ์ความรุนแรงด้วยอาวุธสงครามทั้งระเบิดและปืนอาก้ายิงใส่ผู้ชุมนุมและสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV รวมกันมากถึง 9 ครั้ง หรือเฉลี่ยคือเพิ่มขึ้นเป็นการทำร้ายผู้ชุมนุมทุกวัน

สำหรับประเด็นนี้พิสูจน์ว่า ผู้ชุมนุมบางกลุ่มไม่สามารถอยู่ในที่ตั้งได้ เพราะรัฐบาลไม่คุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้ชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ

ประการที่เก้า ประเด็นการชุมนุมทำให้เป็นเหตุในการปิดท่าอากาศยานได้จริงหรือไม่

ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 พลตรีจำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือถึงนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและรักษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อยืนยันว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ชุมนุมในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการขึ้นลงของเครื่องบิน ทั้งในส่วนของลานบิน หลุมจอด หอบังคับการบิน ไม่เคยขวางการบิน จึงขอให้เปิดดำเนินการท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง

นอกจากนั้นยังพบหลักฐาน เป็นข้อเท็จจริงด้วยว่าการชุมนุมของคนกลุ่มอื่นที่บริเวณพื้นที่การจราจรหน้าอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิถึง 5 ครั้ง ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับที่มีข่าวการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่กลับไม่เคยมีคำสั่งให้ปิดการให้บริการท่าอากาศยานหรือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงเลย

นอกจากนั้นตามเอกสารตารางสรุปเที่ยวบินของสนามบินดอนเมือง ซึ่งมีรายละเอียดบ่งชี้ว่าระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 มีรายการเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกให้บริการอยู่ แสดงให้เห็นว่าพื้นที่การชุมนุมไม่ได้กระทบต่อการบินทั้งท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

จึงทำให้เชื่อได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่รัฐสั่งปิดท่าอากาศยานทั้งสองแห่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงเป็นการกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ เพื่อให้เสียหายและให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะในเวลานั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นคู่กรณีโดยตรงต่อรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจากคดีการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม 2551

 ประการที่สิบ การดำเนินคดีความต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คณะพนักงานสืบสวน สอบสวนไม่ได้รวบรวมหลักฐานอย่างรอบด้าน แต่รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อกล่าวหาให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความผิดแต่เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาในเวลาเดียวกันด้วย

จึงไม่เคยปรากฏหลักฐานสำคัญอันเป็นข้อเท็จจริงในคดี ในสำนวนการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ไม่ปรากฏแม้กระทั่งแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 29 ฉบับ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการที่แสดงเจตนาและการกระทำด้วยความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญอันเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งตามกฎหมายอาญาในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ไม่มีการรวบรวมความรุนแรงที่กระทำต่อผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บจำนวนมาก

ประเด็นที่สำคัญที่สุด คณะพนักงานสอบสวนก็ไม่เคยพิจารณาประเด็นปัญหาการสิ้นผลบังคับใช้ตามกฎหมายของข้อกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง

เพราะข้อกำหนดห้ามชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองไม่ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาตามที่กฎหมายกำหนด

นอกจากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีไม่ออกข้อกำหนดในเรื่องเดียวกันภายในสี่สิบแปดชั่วโมง ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามมาตรา 10แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เรื่องการห้ามชุมนุมทั้งที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยเช่นกัน

แต่กลับนำประเด็นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้ มาดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลง พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส หัวหน้าพนักงานสอบสวนที่ดำเนินคดีต่อพันธมิตรฯ เพราะพล.ต.ท.วุฒิ เห็นว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้กระทำผิดและเป็นผู้ก่อการดี

การดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมต่อแกนนำและผู้ชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เพื่อทำให้ขบวนการภาคประชาชนอ่อนแอลง

ข้อสำคัญคือไม่ต้องการให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาเป็นอุปสรรคต่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยต่อมา และเมื่อขบวนการพันธมิตรฯอ่อนแอลง จึงทำให้ทักษิณ ลุแก่อำนาจ พักอาศัยอยู่ในห้องรอยัลสูท 1401 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องจำคุกในเรือนจำจริงแม้แต่วันเดียวจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งในความเป็นจริงเนื้อหานั้นยังมีรายละเอียดมากถึง 118 หน้า จึงไม่สามารถนำเสนอผ่านบทความนี้ได้ คงได้แต่นำเสนอข้อเท็จจริงในฝ่ายจำเลยว่าเป็นอย่างไร

ส่วนการตัดสินนั้นศาลอาญาย่อมต้องพิจารณาพยานหลักฐานจากฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์อย่างรอบด้าน ผลเป็นอย่างไรก็ต้องน้อมรับในคำพิพากษาที่กำลังจะเกิดขึ้น

 และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร คดีนี้คงต้องมีการต่อสู้กันถึงศาลฎีกาอย่างแน่นอน

ด้วยจิตคารวะ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์



กำลังโหลดความคิดเห็น