เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาต “คั่นบรรยากาศ” ด้วยการแวะกลับมาดูประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างประเทศพม่าหรือเมียนมาเอาไว้สักนิด เพราะการสู้รบ-โรมรันพันตูระหว่างรัฐบาลเผด็จการทหารพม่ากับกลุ่มต่อต้าน ที่แม้แทบเป็นเรื่อง “ปกติธรรมดา” มาโดยตลอดสำหรับประเทศนี้ นับจากได้รับเอกราชเป็นต้นมา แต่หลังๆ นี้...หรือไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ต้องเรียกว่า...ออกจะหนักหนา-สาหัสระดับถึงขั้นประธานาธิบดี หรือประธานสภาบริหารแห่งรัฐ “นายMyint Swe” ต้องออกปากไว้ ณ ที่ประชุมสภาความมั่นคงและป้องกันประเทศ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (9 พ.ย.) ว่าอาจถึงขั้นทำให้พม่าต้องแตกออกเป็นชิ้นเล็ก-ชิ้นน้อย เอาเลยถึงขั้นนั้น...
โดยเฉพาะการสู้รบในแถบตะวันออกของประเทศ ที่ติดต่อกับชายแดนจีน หรือบริเวณภาคเหนือของรัฐฉาน ที่บรรดาทหารของชนกลุ่มน้อย 3 กลุ่ม คือ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอั้ง (Ta’ang National Liberation Army-TNLA) กองทัพอาระกัน (Arakan Army-AA) และกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า (Myanmar National Democratic Alliance Army-MNDAA) หรือที่เรียกแบบสั้นๆ ง่ายๆ ว่าพวก “โกกั้ง” ได้ร่วมสนธิกำลังประมาณ 15,000 คน บุกเข้ายึดฐานบัญชาการทหารของกองทัพพม่า ยึดเมืองสำคัญๆ ตลอดจนเส้นทางถนนสายหลักๆ ที่เชื่อมระหว่างจีนกับพม่า จนทำให้เกิดผลกระทบในด้านการค้าๆ-ขายๆ ระหว่าง 2 ประเทศ ชนิดพืช-ผัก-ผลไม้ที่ติดค้างอยู่ตามถนนสายต่างๆ เน่าเสียกันไปเป็นแถบๆ ผู้คนต้องอพยพหลบหนีกันเป็นหมื่นๆ และที่สำคัญก็คือบรรดา “ทวยไทย” เช่นหมู่เฮาทั้งหลาย ที่ถูกหลอกถูกลวงโดยพวก “จีนเทา” ไปเป็นโสเภณี หรือไปร่วมประกอบอาชญากรรมเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฯลฯ อะไรประมาณนั้น ถูกทหารพม่าจับไว้เป็นตัวประกันถึง 162 คน พอๆ กับแรงงานไทยในอิสราเอลที่ถูกพวกฮามาสจับตัวไปในตะวันออกกลาง ส่งผลให้กระทรวงการต่างประเทศไทยต้องปวดเศียร-เวียนเกล้า ไม่น้อยไปกว่ากันสักเท่าไหร่...
คือบรรดาความปั่นป่วนวุ่นวายเหล่านี้ ว่าไปแล้ว...ไม่น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮาสักเท่าไหร่ ถ้าจะเกี่ยวก็อาจเกี่ยวกับเรื่องการช่วยเหลือตัวประกัน รวมทั้งการหาทางไม่ให้คนไทยถูกล่อลวง ถูกค้ามนุษย์โดยพวก “จีนเทา” นั่นแหละเป็นหลัก ส่วนผู้ที่คงต้องปวดเศียร-เวียนเกล้าเอามากๆ น่าจะเป็นคุณพี่จีน ที่มีพรมแดนประชิดติดพันกับพม่าด้านนี้ถึง 2,204 กิโลเมตร และมี “ผลประโยชน์” ผูกโยงกับความเป็นไปในประเทศพม่า แบบชนิดพอๆ กับ “หนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อ” อะไรประมาณนั้น ไม่ว่าผลประโยชน์ในแง่ปกติธรรมดา หรือในแง่ “ยุทธศาสตร์” ที่พื้นที่ประเทศพม่าสามารถใช้เป็น “ทางออกทางทะเล” อีกด้านให้กับจีน โดยไม่ต้องกระจุกตัวอยู่ก้นอ่าว หรือต้องพึ่งพาเส้นทางลำเลียงพลังงานน้ำมันและแก๊ส หรือสินค้าต่างๆ ผ่าน “ช่องแคบมะละกา” เพียงทางเดียวเท่านั้น จนทำให้ทางออกด้านนี้ถูกขนานนามโดยรัฐบาลอเมริกันว่า “เส้นทางสร้อยไข่มุก” ที่ถูกร้อยเรียงให้เชื่อมโยงประเทศจีนกับบรรดาประเทศในมหาสมุทรอินเดียต่อเลยไปถึงยุโรปโน่นเลย สามารถรองรับแนวคิดอภิมหาโครงการเปลี่ยนโลก ที่เรียกว่า “หนึ่งแถบ-หนึ่งเส้นทาง” หรือ “BRI” (Belt and Road Initiative) ได้อย่างสอดคล้อง ลงตัว เอามากๆ...
การสู้รบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของพม่า จึงไม่เพียงแต่ทำให้ “ลูกหลง” อย่างกระสุนปืนใหญ่หล่นใส่หัวชาวจีนที่อยู่ใกล้ๆ พรมแดน ชนิดบาดเจ็บ-ล้มตายกันไปมั่งแล้ว หรือทำให้สินค้าจีนที่หลั่งไหลไปยังพม่าเกิดการหยุดชะงัก มูลค่าการค้าชายแดนลดฮวบๆ ฮาบๆ แต่ยังทำให้โครงการต่างๆ ที่มีความสำคัญของทางยุทธศาสตร์ของจีนพลอยวูบๆ ไหวๆ ตามไปด้วยจนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ต้องออกมาแสดงความอึดอัด ขัดข้องใจ เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (7 พ.ย.) ชนิดถึงขั้น “ไม่พอใจ...อย่างยิ่ง” ต่อความขัดแย้งและการสู้รบในพม่าช่วงนี้...
ทั้งๆ ที่จีนนั้น ถือเป็น “ที่พึ่ง” ที่สำคัญเอามากๆ ของพม่า โดยเฉพาะขณะแทบทั้งโลกหันมา “โดดเดี่ยวพม่า” ชนิดไม่ต่างไปจากสุนัขหัวเน่า หลังจากที่กองทัพพม่าภายใต้การนำของ “นายพลมิน อ่อง ลาย” ได้กระทำการรัฐประหารรัฐบาลประชาธิปไตยของ “นางอองซาน ซูจี” เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือแม้ว่าจีนดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการรัฐประหารคราวนี้มากมายสักเท่าไหร่ เพราะตลอดช่วงการบริหารของรัฐบาลประชาธิปไตยโดย “นางอองซาน ซูจี” ที่ผ่านมา สัมพันธภาพระหว่างจีนและพม่าก็เป็นไปได้โดยลื่นไหล ไม่ได้ติดๆ ขัดๆ แต่อย่างใด การอนุมัติโครงการทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “ระเบียงเศรษฐกิจจีน-พม่า” (China-Myanmar Economic Corridor) เพื่อสร้างท่อขนส่งน้ำมันและแก๊ส ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ เชื่อมระหว่างจีนและพม่า ก็บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในรัฐบาลประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2018 นั่นเอง...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วย “ผลประโยชน์” ที่ผูกพันกันในระดับ “หนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อ” ดังที่กล่าวไว้แล้ว จีนเลยไม่เพียงแค่ไม่คิดจะปริปากใดๆ กับ “รัฐบาลเผด็จการทหาร” ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แถมยังพยายามช่วยเหลือ อุ้มชู-ฟูฟัก ให้มีโอกาสอยู่รอด-ปลอดภัย ตามหลักการพื้นฐานแห่งการไม่ “แทรกแซงกิจการภายใน”ประเทศอื่นเป็นหลัก บรรดากองกำลังติดอาวุธของชนชาติส่วนน้อย ที่เคยสร้างปัญหาให้พม่า โดยเฉพาะที่เคยพึ่งพาพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ไม่ว่าตั้งแต่กองทัพสหรัฐฯ ว้า คะฉิ่นอิสระ กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ พรรครัฐฉานก้าวหน้า กองทัพอาระกัน กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะกั้ง และกองกำลังโกกั้ง ต่างได้รับการสนับสนุนผลักดันจากจีน ให้หาทางประนีประนอมหรือไม่พยายามสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลเผด็จการพม่าอีกต่อไป...
แต่อาจด้วยเหตุเพราะ “เผด็จการพม่า” เองนั่นแหละ ที่พยายามธำรง รักษา “ความเป็นตัวของตัวเอง” หรือความเป็นอิสระแบบชนิดไม่คิดจะโอนอ่อนผ่อนตามต่อ “อิทธิพล” ใดๆ จะด้วยเหตุเพราะเคยตกเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งยุโรป หรือเคยถูกจักรพรรดิจีน “กุบไลข่าน” ไล่เหยียบ ไล่กระทืบ มาตั้งแต่ยุคอดีต ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แม้ว่าจำต้อง “พึ่งจีน” ยิ่งขึ้นเท่าไหร่ แต่เผด็จการพม่า ก็มักพยายามค้นหาทางออก-ทางไปเพื่อหวังลดอิทธิพลที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีต่อตนอย่างเอาจริงเอาจังมาโดยตลอด ถึงขั้นเคยมีข่าวว่าคิดจะไป “ต่อสาย” กับอเมริกาทั้งที่อยู่กันคนละขั้ว คนละค่าย หรือหันไปหาอินเดียเพื่อหวังจะเอามาคานกับอิทธิพลจีนที่เพิ่มขึ้นๆ ตั้งแต่ยังไม่เกิดการรัฐประหารรัฐบาล “นางอองซาน ซูจี” เอาเลยด้วยซ้ำ...
และด้วยการหาทางออก-ทางไปในลักษณะเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้เผด็จการพม่าเลยหันไปอุ้มชู-ฟูมฟักพวก “จีนเทา” หรือพวกกองกำลังชนชาติส่วนน้อยแถบภาคเหนือ ที่ยอมประนีประนอมถึงขั้นพร้อมสลายตัวแปรสภาพตัวเองไปเป็น “กองกำลังรักษาชายแดน” (Border Guard Forces-BGF) ให้กับกองทัพพม่า โดยที่เผด็จการพม่ายอมปิดตาหนึ่งข้าง หรือสองข้างก็แล้วแต่ยอมให้กองกำลังเหล่านี้ทำมาหารับประทานด้วยกรรมวิธีใดๆ ก็ได้โดยเสรี ไม่ว่าจะเป็นการค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด เปิดบ่อนการพนัน หรือตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านทางออนไลน์ ฯลฯ จนคนไทยที่ถูกล่อลวงไปเป็นเครื่องมือ ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว ถูกทรมาน-ทรกรรม ชนิดโหดร้ายทารุณเอามากๆ...
อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “เผด็จการพม่า” กับ “เผด็จการจีน” เลยมีอะไรที่แปลกแยก แตกต่างกันอยู่พอสมควร เพราะสำหรับเผด็จการจีนแล้ว อะไรก็ตามที่โหดร้าย ทารุณ กดขี่ เอารัด-เอาเปรียบผู้อื่น ไม่ว่าพวกเศรษฐี-นายทุน หรือแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่ว่าระดับ “แมลงวัน” หรือ “มังกร” ก็ตาม หนีไม่พ้นต้องถูกจับ ถูกปราบ ถูกเด็ดหัวกันไปเป็นรายๆ ด้วยเหตุนี้...บรรดาพวก “จีนเทา” ที่แอบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในพม่า เลยถูกทางการจีนเอื้อมมือไปกวาดล้าง ร่วมกับบรรดากองกำลังติดอาวุธที่ยังไม่คิดจะเปลี่ยนสี-แปรธาตุ หรือแม้ยอมประนีประนอมกับรัฐบาลพม่า แต่ก็ยังปรารถนาและต้องการความถูกต้อง-ยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นพวก “TNLA” “AA” หรือ “MNDAA” ฯลฯ เป็นต้น ถึงขั้นเคยจับพวก “จีนเทา” ทั้งหลาย ส่งไปให้รัฐบาลจีนตัดหัว-คั่วแห้งมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง...
ด้วยความผิดแผกแตกต่าง ความขัดแย้งในลักษณะทำนองนี้นี่เอง เลยนำไปสู่การปฏิบัติการที่เรียกว่า “Operation 1027” หรือการสนธิกำลัง 15,000 นายของกองกำลัง “TNLA-AA-และ MNDAA” บุกเข้ายึดเมืองสำคัญๆ ถนนหนทาง ฐานบัญชาการทหารพม่า เมื่อช่วงเช้ามืดวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา จนนำไปสู่ฉากสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสที่สุดของพม่า ชนิดอาจถูกฉีกประเทศออกไปเป็นชิ้นๆ อย่างที่ประธานาธิบดีพม่าว่าไว้ ดังนั้น...แม้ว่าความพยายามเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้ “อิทธิพล” ใดๆ ของ “เผด็จการพม่า” ไม่ว่าด้วยการหันไปต่อสายอเมริกา หันไปหาอินเดีย หรือแม้แต่ความพยายามดึงรัสเซียเข้ามาพัวพันกับกองทัพพม่าอย่างเป็นระบบและกิจการ อาจดู “ชอบธรรม” อยู่มั่งแต่ก็ด้วยเหตุที่เผด็จการพม่า ไม่คิดจะเป็น “เผด็จการโดยธรรม” ไม่คิด “เอาธรรมนำหน้า” คิดแต่เอาตัวรอดปลอดภัยไว้ก่อน โดยไม่ต้องสนใจว่าผู้ที่ช่วยให้ตัวเองอยู่รอด-ปลอดภัยจะเป็นอาชญากร จะก่ออาชญากรรม จะดีหรือชั่วประการใดก็ตาม...
อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ความเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นอิสระของ “เผด็จการพม่า” เลยกลายเป็นสิ่งที่ “ไม่ชอบธรรม” ไม่ว่าในสายตาของฝ่ายประชาธิปไตย หรือฝ่ายเผด็จการด้วยกันเองก็แล้วแต่ ดังนั้น...ขณะที่ต้องเจอกับฝ่ายประชาธิปไตยอย่างกองกำลัง “BPLA” (The Bamar People’s Liberation Army) ที่พยายามทวงคืนประชาธิปไตยจากเผด็จการทหารมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 หรือหลังการรัฐประหารรัฐบาล “อองซาน ซูจี” ออกก่อวินาศกรรม ก่อการร้าย ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ยังต้องเจอกับการโจมตียึดบ้าน ยึดเมือง ของกองกำลังชนชาติส่วนน้อยเข้าไปอีกดอก ฉากสถานการณ์ความปั่นป่วน วุ่นวายในพม่าช่วงนี้จึงออกจะเป็น “ปัญหาภายใน” ของพม่าเอง หรือเป็นปัญหาของเผด็จการ ที่ไม่ได้เป็น “เผด็จการโดยธรรม” แต่ดันเป็นเผด็จการที่เอาตัวรอดไปวันๆ โดยยังไม่ได้มี “สัญญาณ” ใดๆ ว่าจะเกี่ยวข้องกับ “ปัญหาภายนอก” สักเท่าไหร่ แม้ว่าโดย “ภูมิรัฐศาสตร์” ของพม่า จะเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบของมหาอำนาจระดับโลกก็ตาม...
ดังนั้น...ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงพม่าอย่างไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮา ก็ยังไม่น่าจะถึงกับต้องอกสั่นขวัญแขวน หรือกลัวจะเป็น “ยูเครน 2” แบบที่ “กุนซือสมองเพชร” ท่านออกมาแสดงความหวาดวิตกไว้ล่วงหน้า แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากการคิด “เอาตัวรอด” ของเผด็จการพม่า ทำให้ถึงกับต้องหันไปหาพวก “โหด-เลว-ชั่ว”อย่างประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์ เช่น คุณพ่ออเมริกา ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ตาม โอกาสที่ประเทศพม่า...อาจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ดังที่ประธานาธิบดี “Myint Swe” ท่านห่วงใย-กังวล ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!