เห็นว่าตายไปแล้วเป็นหมื่นๆ...สำหรับการถล่มระเบิดใส่พื้นที่ฉนวนกาซาของกองทัพอิสราเอล ที่ไม่คิดจะเว้นแม้แต่โรงพยาบาล ค่ายผู้อพยพลี้ภัย อาคารบ้านเรือนของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ โดยถ้าว่ากันตามข้อมูล สถิติ ขององค์กรกลางอย่าง “สหประชาชาติ” ในจำนวนนับหมื่นๆ ศพนั้น น่าจะเป็น “เด็ก” และ “ผู้หญิง” ไม่ต่ำกว่า 67 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป หรือกว่าครึ่งต่อครึ่ง ชนิดที่เลขาธิการสหประชาชาติ “นายAntonio Guterres” ท่านถึงกับต้องรำพึงออกมาดังๆ ว่า “ฉนวนกาซากำลังกลายเป็นหลุมฝังศพของพวกเด็กๆ” เอาเลยถึงขั้นนั้น ความเหี้ยมโหดระดับ “ม.ม้า” วิ่งไล่ไม่ทันของรัฐบาลอิสราเอลคราวนี้จึงเป็นอะไรที่โลกแทบจะทั้งโลก “มิอาจรับได้” โดยเด็ดขาด!!!
ดังนั้น...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ผู้คนพลเมืองระดับแทบจะทั้งโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกอิสลามที่มี “ภราดรภาพมุสลิม” เป็นตัวเชื่อมโยง สายใย ความผูกพันกับบรรดาชาวปาเลสไตน์ผู้ถูกกระทำย่ำยีโดยกองทัพอิสราเอลในทุกวันนี้ แต่กระทั่งในยุโรป อเมริกา บรรดาผู้ที่รักความถูกต้อง-เป็นธรรม-ยุติธรรมทั้งหลาย ต่างอดรนทนไม่ได้ต้องออกมาประท้วง ออกมาด่า ออกมาประณามทั้งรัฐบาลอิสราเอล รัฐบาลอเมริกัน รวมทั้งรัฐบาลในประเทศยุโรป ที่ต่างหันไป “อมเชาวริน” (สากกะเบือ) กันคนละด้าม-สองด้าม อันมีแนวโน้มที่จะกลายไปเป็น “กระแสหลัก-กระแสโลก” แบบเดียวกับครั้ง “การต่อต้านสงครามเวียดนาม” ในยุคซิกส์ตี้ ของบรรดาพวก “ขบวนการบุปผาชน” ทั้งหลาย ที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงแนวคิดทางการเมืองและสังคม-วัฒนธรรม ไปแทบจะทั่วทั้งโลกอย่างมิอาจปฏิเสธได้...
ในเยอรมนีนั้น...แม้ว่าทัศนคติ ค่านิยมทางสังคมจะเกิดการ “พลิกกลับ” ระดับ 180 หรือ 360 องศาเอาเลยก็ว่าได้ คือจากที่เคยเป็นผู้สังหาร พร่าผลาญชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย “นาซี-ฮิตเลอร์” ชนิดโหดร้าย ทารุณ ไม่น้อยไปกว่าที่ลูกหลานชาวยิวกำลังกระทำกับบรรดาชาวปาเลสไตน์อยู่ในขณะนี้ แต่มาถึงทุกวันนี้...รัฐบาลเยอรมันภายใต้การนำของพรรค “SDP” และพรรค “Green” ได้กลายเป็น “รัฐบาลเยอรมนีเชื้อสายยิว” ไปแล้วก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่ “พิชัย นริพทะพันธุ์” แห่งเยอรมนี หรือ “นายOlaf Scholz” (หัวล้าน) จะออกมาปกป้องชาวยิว และถือว่าใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอิสราเอล กลายเป็นพวก “Anti Semitics” ไปเสียทั้งหมดรัฐมนตรีมหาดไทยอย่าง “นางNancy Faeser” ยังออกมาสั่งห้ามไม่ให้เดินขบวนเพื่อประท้วง หรือเพื่อสนับสนุนชาวปาเลสไตน์กันซะอีกต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งเหล่านี้มิอาจหยุดยั้งบรรดาผู้รักความถูกต้อง-เป็นธรรมทั้งหลาย การลงถนนของผู้ประท้วงนับหมื่นๆ คน ที่กรุงเบอร์ลินและเมืองอื่นๆ อีกหลายๆ เมือง เลยทำให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ชนิดตำรวจบาดเจ็บไปถึง 65 ราย ผู้ประท้วงถูกจับกุมนับร้อยๆ คน...
ส่วนในอังกฤษ...ที่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที การลงถนนของพวกผู้ดีนับแสนๆ คน หรือถ้าว่ากันตามตัวเลขทางการ ไม่น่าจะต่ำกว่า 300,000 คน เมื่อไม่กี่วันมานี้ พร้อมการกู่ก้องร้องตะโกนให้ “หยุดยิง...เดี๋ยวนี้!!!” หรือชูป้ายข้อความว่า “Free for Palestine” ทั่วจัตุรัส “Trafalgar” ในกรุงลอนดอน สะท้อนถึงความคับข้อง คับแค้นใจ ยิ่งกว่าทีม “ผีแดง-แมนยูฯ” หรือ “หงส์แดง-ลิเวอร์พรุน” พ่ายแพ้คาบ้าน อย่างที่พวกสาวกผี-สาวกหงส์ในบ้านเราอึดอัด คับข้องใจ ไม่รู้จะกี่สิบกี่ร้อยเท่า แต่ก็นั่นแหละ...รัฐบาลผู้ดีอังกฤษ ภายใต้การนำของ “นายฤาษี สุนัข” (Risshi Sunak) ก็คงไม่ต่างไปจาก “รัฐบาลอังกฤษเชื้อสายยิว” แบบเดียวกับรัฐบาลเยอรมนีนั่นเอง เพียงแค่ผู้ประท้วงบางราย เช่น “นางHeba Alhayey” อายุ 29 ปี และ “นางสาวPauline Ankund” อายุ 26 ปี ชูรูปภาพนักรบปาเลสไตน์ที่ขี่เครื่องร่อนข้ามแดนบุกเข้าไปในอิสราเอล ก็ถูกจับกุมคุมขังในข้อหา “ก่อการร้าย” ไม่ต่ำกว่า 6 เดือนเอาเลยถึงขั้นนั้น...
ที่ฝรั่งเศสนั้น...อาจด้วยเหตุเพราะผู้นำอย่าง “นายมาครง คนหนุ่ม” (Emmanuel Macron) ที่ถูกประท้วงแล้วประท้วงเล่าด้วยเรื่องอื่นๆ มาโดยตลอด เลยหันไป “อมสากกะเบือ” เอาไว้มิดด้าม-เต็มด้าม ในกรณีความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์จนทำให้บรรดาผู้ประท้วงกลางกรุงปารีส ไม่เพียงแต่ต้องชูป้ายเรียกร้องให้ “หยุดยิง-หยุดวงจรแห่งความรุนแรง” แต่ยังต้องแถมด้วยป้ายข้อความในลักษณะที่ว่า “การไม่ทำอะไรเลย-ไม่พูดอะไรเลย...ก็คือการสมคบคิดนั่นเอง” แบบเดียวกับที่รัฐมนตรีสิทธิสังคมของสเปน “Ione Belarra” ได้เคยออกมาเตือนบรรดาประเทศอียูทั้งหลาย ว่าถ้ายังไม่คิดจะคว่ำบาตร ไม่คิดจะตัดขาดความสัมพันธ์กับ “ไอ้เหี้ยม” อย่างรัฐบาลอิสราเอลแล้วล่ะก็ อาจไม่ต่างไปจาก “ผู้สมคบคิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เอาเลยก็เป็นได้ สรุปรวมความว่า...แทบจะทั่วทั้งยุโรปเอาเลยนั่นแหละ ที่รัฐบาลกับปวงชนชักจะเห็นต่าง คิดต่าง ระหว่างกันและกันยิ่งเข้าไปทุกที อันย่อมส่งผลให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลในแต่ละพรรค ยิ่งเพิ่มคะแนนนิยมแบบมาแรงแซงโค้ง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึงขั้นสามารถ “พลิกยุโรปทั้งยุโรป” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้...
ส่วนคุณพ่ออเมริกาของหมู่เฮาทั้งหลาย...ด้วยความเป็น “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” มาแต่อ้อนแต่ออก และยิ่งต้องการความสนับสนุน ช่วยเหลือ จากบรรดานายทุนวอลล์สตรีทนักธุรกิจชาวยิวในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล การประเคนความช่วยเหลือและสนับสนุนรัฐบาล-กองทัพอิสราเอล อย่างชนิดสุดลิ่มทิ่มกระดาน ไม่ใช่แค่ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินถึง 2 ลำ เข้าไปช่วยปัดป้อง ปกป้อง การโจมตีอิสราเอลในแต่ละด้าน หรือยังอุตส่าห์ไสเรือดำน้ำนิวเคลียร์เข้าไปสมทบอย่างเป็นระบบและกิจการ ล่าสุด...ยังมีแผนที่จะให้บริษัทผลิตอาวุธ “Rafael” ส่งระบบยิงระเบิดนำวิถีความแม่นยำสูง (Special Family Gliding Bomb Assembles) มูลค่ากว่า 320 ล้านดอลลาร์ไปช่วยกองทัพอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้หายเกลี้ยงไปทั้งแผ่นดินปาเลสไตน์อีกต่างหาก ดังนั้น...การอ้อมๆ แอ้มๆ อึกๆ อักๆ ในเรื่อง “การหยุดยิงชั่วคราว” หรือการส่งรัฐมนตรีต่างประเทศไปขอร้อง วิงวอน ให้รัฐบาล-กองทัพอิสราเอลลดๆ ความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ลงไปมั่ง จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ปิศาจคาบคัมภีร์” อะไรประมาณนั้น...
และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาอเมริกันชนจำนวนมิใช่น้อย เกิดความโกรธกริ้ว ฉิวฉุน ถึงขั้นที่สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” ถึงกับสรุปไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 พ.ย.) ถึงขั้นว่า “Fury over US’ support for Israel may add uncertainty to 2024 election.” หรือความโกรธที่รัฐบาลอเมริกาสนับสนุนอิสราเอล อาจเพิ่ม “ความไม่แน่นอน” ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปีหน้าเอาเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะเมื่อบรรดาชาวอเมริกัน-อาหรับในประเทศอเมริกาเกิดการเติบโต ขยายตัวยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะในรัฐที่เคยมีการต่อสู้แบบชนิดหวีดหวิว ฉิวเฉียด หรือที่เรียกว่า “Swing States” ระหว่างรีพับลิกันและเดโมแครตมาโดยตลอด ไม่ต่ำกว่า 5-6 รัฐด้วยกัน โอกาสที่ “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ วิตถาร” จะเสร็จ “ทรัมป์บ้า” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แม้ว่าบรรดาชาวอเมริกัน-อาหรับทั้งหลายจะรู้สึกส่ายหน้ากับคู่แข่ง-คู่ชิงทั้งสองก็ตาม...
แต่ถึงไม่ใช่ชาวอเมริกัน-อาหรับก็เถอะ...บรรดาอเมริกันชนโดยทั่วไปไม่ต่ำกว่า 300,000 คนที่ออกมาเดินขบวนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (4 พ.ย.) ย่อมสะท้อนถึงความไม่เห็นควรด้วยกับรัฐบาลตัวเอง อย่างตรงไป-ตรงมา ถึงขั้นยึดสถานีรถไฟ ปิดสะพานบรู๊คลิน หรือบุกเข้าไปในรัฐสภา จนแห่ไปปิดท่าเรือเมือง Oakland เพื่อไม่ให้ส่งอาวุธไปช่วยเหลือกองทัพอิสราเอล เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว (3 พ.ย.) ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ย่อมมีสิทธิ์ยกระดับและพัฒนาไปสู่ความเข้มข้นแห่งการปฏิเสธและต่อต้าน ใกล้ๆ กับครั้ง “ต่อต้านสงครามเวียดนาม” ยิ่งเข้าไปทุกที อย่างที่แกนนำผู้ประท้วงท่านสาธุคุณ “Graylan Hagler” แห่งองค์กรทางศาสนาเพื่อการประนีประนอม (The Fellowship of Reconciliation and pastor emeritus)ท่านออกย้ำกับสำนักข่าว “Sputnik” ไว้แบบเสียงดัง-ฟังชัดว่า “เรา(ชาวอเมริกัน)นิ่งเงียบมานานเกินไปแล้ว เราไม่ได้มีหยาดน้ำตามาตลอด 75 ปี ไม่เคยรู้สึกโกรธที่ชาวปาเลสไตน์ถูกกดขี่ ไม่เคยรู้สึกแค้นเคืองต่อการปิดล้อม ห้ามเข้า-ห้ามออกในฉนวนกาซาโดยอิสราเอลตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ดังนั้น...มันถึงเวลาแล้ว!!! สำหรับความโกรธ ไม่ใช่เพราะมันถูกระเบิดออกมาในวันที่ 7 ตุลาคม (การบุกอิสราเอลของนักรบปาเลสไตน์) แต่เพราะความโกรธที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 จนกระทั่งตราบเท่าทุกวันนี้...”
นี่...อันนี้นี่แหละที่ทำให้ไม่ว่ากองทัพอิสราเอลจะถล่มแหลก จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ไปอีกกี่หมื่นต่อกี่หมื่น จะกวาดล้างนักรบฮามาส ควบคุมฉนวนกาซาหรือผนวกไว้เป็นดินแดนอิสราเอลได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที แต่การ “พ่ายแพ้ทางการเมือง” ตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ว่าการเมืองภายนอก หรือการเมืองภายในอิสราเอลเอง ที่ทำให้แม้แต่ชาวยิวแท้ๆ ผู้รักสันติภาพ ยัง “รับไม่ได้” ต่อการใช้อำนาจเพื่อรักษาอำนาจ ของผู้นำตัวเองอย่าง “นายNetanyahu” ชนิดต้องออกมาประท้วง ออกมาลงถนน ทั้งในอเมริกาและในประเทศอิสราเอลอีกซะด้วย จนอาจทำให้นายกรัฐมนตรีรายนี้อาจไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ทันทีที่สงครามยุติลงไปเมื่อไหร่ก็ตาม ความพ่ายแพ้ทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังที่ปรมาจารย์สงครามอย่าง “ท่านประธานเหมา” ว่าไว้ ย่อมต้องส่งผลให้ “พันธมิตรของเรา” (อเมริกาและยุโรป) ย่อมต้อง “เป็นรายต่อไป” หรือย่อมต้องพ่ายแพ้ตามไปด้วย อย่างที่นายกรัฐมนตรีรายนี้ ได้สรุปเอาไว้ก่อนหน้านั้น...นั่นแล...