ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เป็นผู้นำชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก แต่คำพูดไร้ความหมายเมื่อใช้กับผู้นำอิสราเอลนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ขอร้องให้หยุดยิงเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์
ก่อนหน้านี้ผู้นำชาติยิวได้ประกาศว่าไม่มีใครสามารถกำหนดนโยบายของอิสราเอลที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดและมั่นคงท่ามกลางบรรยากาศความเป็นปฏิปักษ์
การที่กองทัพอิสราเอล ยังคงโจมตีเป้าหมายในพื้นที่ฉนวนกาซาโดยเครื่องบินและปืนใหญ่ ทั้งยังส่งรถถังและกองกำลังทหารราบเข้าไปกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธฮามาส ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 10,000 ราย
ในจำนวนนั้นมีเด็กเสียชีวิตประมาณ 4,000 รายที่เหลือเป็นผู้หญิง คนชรา และผู้ป่วยหรือผู้ที่หลบอาศัยในสถานที่ต่างๆ เช่นโรงพยาบาล มัสยิด และโบสถ์คริสต์
การใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะจาบาเลีย ในพื้นที่ฉนวนกาซาและค่ายผู้ลี้ภัยอื่นๆ ในภาคใต้ถือว่าเป็นสิ่งที่กระทำซ้ำซากโดยกองทัพอิสราเอลไม่คำนึงถึงการเสียชีวิตและบาดเจ็บของพลเรือน
ก่อนหน้านี้อ้างว่ากลุ่มติดอาวุธซุกซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มค่ายผู้ลี้ภัยและก่อนหน้านี้ได้ยิงรถพยาบาลมีผู้เสียชีวิต 15 รายอ้างว่ามีคนระดับหัวหน้าฮามาสอยู่ด้วย
ค่ายผู้ลี้ภัยและโรงพยาบาลหลายแห่งอ้างว่าเป็นที่ซุกซ่อนตัวของกลุ่มติดอาวุธ และมีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตมากมาย ฝ่ายกองทัพอิสราเอลไม่สามารถหาหลักฐานพิสูจน์ได้
ดังนั้นประชาคมโลกจึงมองเจตนาของกองทัพอิสราเอลและผู้นำรัฐบาลว่าต้องการจะทำลายโครงสร้างที่จำเป็นสำหรับด้านสุขภาพของชาวปาเลสไตน์เพื่อไม่ให้รักษาคนบาดเจ็บ คนป่วยและสตรีที่จะคลอดบุตร
การมุ่งสังหารเด็กและสตรีเพื่อต้องการลดจำนวนประชากรชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ฉนวนกาซาและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน โดยที่อิสราเอลหวังจะครอบครองพื้นที่ทั้งหมดโดยอ้างความปลอดภัย
ล่าสุดมีรายงานว่าสื่อมวลชนก็เป็นเหยื่อของการโจมตีโดยกองทัพอิสราเอล ที่ผ่านมามีอย่างน้อย 37 รายที่ถูกสังหารหลังจากสงครามเริ่มขึ้นวันที่ 7 ตุลาคม
ในจำนวนนั้นมีผู้สื่อข่าวปาเลสไตน์ 32 รายอิสราเอล 4 ราย และมีสื่อชาวเลบานอนหนึ่งราย ก่อนหน้านี้กองทัพอิสราเอลประกาศชัดเจนว่าจะไม่รับประกันความปลอดภัยของ 4 มวลชนที่ทำข่าวระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
เสียงประณามจากประชาคมโลกและการเดินขบวนประท้วงของประชาชนในหลายเมืองทั่วโลก ต่อต้านความรุนแรงของกองทัพอิสราเอลและเรียกร้องไม่ให้มีการยิงไม่ได้ทำให้ผู้นำอิสราเอลรู้สึกอะไร
ข้อกล่าวหาร้ายแรงที่มีต่อผู้นำรัฐบาลและกองทัพอิสราเอล คือการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การเหยียดผิวและเชื้อชาติ การสังหารหมู่ และพฤติกรรมโหดเหี้ยมในการสังหารโดยไม่เลือกเป้าหมายว่าเป็นกลุ่มติดอาวุธหรือพลเรือน
คงไม่มีกองกำลังหรือกองทัพไหนในโลกที่กล้าโจมตีเป้าหมายอย่างเช่นโรงพยาบาล สถานที่ประกอบกิจกรรมด้านศาสนา ค่ายผู้อพยพลี้ภัยและโรงเรียน ระบบอนามัย แม้กระทั่งอ่างเก็บน้ำ
ความโหดร้ายอำมหิตของผู้นำรัฐบาลและกองทัพอิสราเอลคือการปิดล้อมพื้นที่ฉนวนกาซาห้ามส่งอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และพลังงานเข้าไปในพื้นที่เพื่อต้องการให้ชาวปาเลสไตน์ประสบความลำบากและอพยพออกจากพื้นที่
มีหลายครั้งที่กองทัพอิสราเอลไล่โจมตีกลุ่มผู้อพยพจากทางตอนเหนือของฉนวนกาซาลงไปพื้นที่ภาคใต้ จากนั้นได้โจมตีเมืองข่าน ยูนิส ทำให้ประชาชนปาเลสไตน์ไม่สามารถแสวงหาที่ปลอดภัยได้
หลายประเทศรวมทั้งตุรกีได้เรียกทูตกลับประเทศและให้คณะทูตอิสราเอลออกจากประเทศ ซึ่งทำให้แต่ละวันอิสราเอลกำลังถูกโดดเดี่ยวโดยประชาคมโลก ซึ่งจะเห็นการเดินขบวนต่อต้านอิสราเอลและเรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อให้องค์กรต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์
ถ้าคำพูดของโจ ไบเดน ไม่มีน้ำหนักสำหรับผู้นำรัฐบาลอิสราเอลก็คงจะไร้ผลที่จะให้อิสราเอลหยุดการกระทำการโหดเหี้ยมอำมหิตกับชาวปาเลสไตน์
การเดินทางเยือนอิสราเอล 3 ครั้งของรัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน และการพบปะกับผู้นำประเทศอาหรับก็คงไม่มีความหมายเช่นกัน ตราบใดที่อิสราเอลยังไม่เลิกเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์
จากการสู้รบที่ยังไม่สิ้นสุดต้องรอดูว่าจะมีกลุ่มอื่นเข้าไปร่วมด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มกองกำลังที่จะเข้าไปช่วยกลุ่มฮามาสแม้ผู้นำกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ได้ประกาศว่าจะไม่ขยายการสู้รบด้วยก็ตาม
จะมีอีกกี่ประเทศซึ่งจะเรียกทูตกลับเพื่อแสดงให้เห็นว่าอิสราเอลได้กระทำเกินเลยไปอย่างมากในการตอบโต้กลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์ และผลกระทบในที่สุดจะโดนกล่าวหาว่าประกอบอาชญากรรมสงครามโดยมีสหรัฐฯ รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่