“การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก (อิณาทานํ ทุกขํ โลเก)” นี่คือพุทธที่ตรัสสอนช่วยให้หยุดการก่อหนี้ นอกจากนี้แล้วพระพุทธเจ้าตรัสถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องเป็นหนี้ และความทุกข์อันเกิดจากการเป็นหนี้ ซึ่งมีที่มาปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย ความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความจนเป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า!”
จึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! คนจนไม่มีทรัพย์ของตนเอง ไม่มั่งคั่ง ย่อมกู้หนี้ แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม”
“คนจนกู้หนี้แล้ว ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ย แม้การจ่ายดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม”
“คนจนที่จะต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนด ก็ถูกเขาทวง แม้การถูกทวงก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม”
“คนจนถูกทวง ไม่ให้เขา ก็ถูกตามตัว แม้การถูกตามตัวก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม”
“คนจนถูกตามตัวไม่ให้เขา ย่อมถูกจองจำ แม้การถูกจองจำก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความจนก็ดี การกู้หนี้ก็ดี การเสียดอกเบี้ยก็ดี การถูกทวงก็ดี การถูกตามตัวก็ดี การถูกจองจำก็ดี เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม ด้วยประการฉะนี้”
จากพุทธพจน์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าคนจนซึ่งไม่มีทรัพย์สินใดๆ ที่พอจะขายหรือแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต จึงต้องกู้หนี้และเป็นการกู้หนี้จากนายทุนเงินกู้
แต่ในปัจจุบันไม่เพียงแต่คนจนเท่านั้นที่กู้หนี้ คนรวยหรือผู้มีอันจะกินก็เป็นหนี้เพื่อการลงทุน โดยหวังจะรวยเพิ่มขึ้นและคนรวยเป็นหนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ทุกข์ ถ้าธุรกิจที่กู้เงินมาลงทุนขาดทุนไม่สามารถใช้หนี้ได้ก็จะถูกฟ้องล้มละลาย ถูกยึดทรัพย์มาขายเพื่อใช้หนี้ เสียทั้งชื่อเสียง เสียทั้งทรัพย์
ดังนั้น การเป็นหนี้ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย ถ้าไม่สามารถใช้หนี้ได้ก็เป็นทุกข์เช่นเดียวกัน
ในสมัยพุทธกาล ไม่ปรากฏว่าผู้ครองแคว้นใดกู้หนี้ เฉกเช่นรัฐบาลในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่ใช้นโยบายประชานิยมในรูปแบบต่างๆ เป็นเหยื่อล่อให้ประชาชนเกิดความหวังแล้วลงคะแนนเลือกตั้งให้กับผู้สมัคร และพรรคการเมือง โดยจัดทำเป็นโครงการและกู้เงินมาสนองความต้องการของประชาชน แต่แฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ที่ตนเองจะพึงมีพึงได้ ทั้งตามน้ำและทวนน้ำ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่กู้หนี้ในรูปแบบดังกล่าวข้างต้น ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากว่ารายได้ของประเทศจากการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ไม่เพียงพอที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากการจัดทำงบประมาณขาดดุลติดต่อกันมาหลายปีแล้ว และส่วนที่ขาดดุลนี้เองต้องกู้มาเพื่อให้เกิดความสมดุล จนกระทั่งถึงปัจจุบันหนี้ที่รัฐบาลกู้มาเกิน 60% ของจีดีพีแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะต้องกู้เพิ่มขึ้นแน่นอน ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. รัฐบาลโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายประชานิยมหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบล้วนแล้วแต่ใช้เงินจำนวนมาก เมื่อเทียบรายได้ของประเทศแล้วไม่เพียงพอที่จะนำมาจัดทำนโยบายเหล่านี้ได้ เพราะแค่นโยบายแจกเงินดิจิทัลอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 560,000 ล้านบาทแล้ว
2. ในขณะนี้ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก สืบเนื่องมาจากการระบาดของโควิด 19 และยังไม่ทันฟื้นตัวได้เกิดสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลกที่แย่อยู่แล้วแย่หนักลงไปอีก และที่ร้ายยิ่งกว่านี้ ล่าสุดได้เกิดการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับนักรบปาเลสไตน์ ยิ่งทำให้เศรษฐกิจโลกแย่หนักลงไปอีก
3. จากภาวะสงครามตามข้อ 2 ราคาน้ำมันและก๊าซจะต้องปรับตัวสูงขึ้นไปอีก ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และการขนส่งสินค้า และถ้าประเทศไทยก่อหนี้เพิ่มขึ้นภาวะเงินเฟ้อที่เฟ้ออยู่แล้วจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก เมื่อเป็นเช่นนี้คนไทยซึ่งส่วนใหญ่จนอยู่แล้วจะยิ่งจนลงไปอีก ดังนั้นความทุกข์จากการเป็นหนี้จะต้องเกิดขึ้นกับคนไทยทุกคน มากน้อยตามเหตุปัจจัยของการก่อหนี้แต่ละคน