ไม่ว่าจะถือเป็น “ความแค้นตาแม้น” หรือเป็น “สิทธิในการป้องกันตนเอง” ใดๆ ก็แล้วแต่...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า บรรดา “ความเหี้ยม” ของลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน หรือบรรดาชาวยิวทั้งหลาย นับจากหลังก่อตั้งประเทศอิสราเอลเรียบร้อยแล้วเป็นต้นมา มันช่างเป็นอะไรที่ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” แทบตามไม่ค่อยจะทันมาโดยตลอด จะเป็นเพราะติดเชื้อ-ติดนิสัย “นาซีเยอรมัน” ที่เคยกระทำย่ำยีชนชาติตัวเองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือจะเป็นเพราะเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ด้วยเหตุนี้...การคิดจะบุกฉนวนกาซา คิดจะลดขนาด คิดจะกวาดล้างพวก “ฮามาส” อีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ จึงเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง น่าขนหัวลุก ขนคอพอง ฯลฯ เป็นอันมาก...
เพราะโดยแบบอย่าง ตัวอย่าง การกวาดล้างและทำลายโครงสร้างของบรรดา “นักรบปาเลสไตน์” เมื่อช่วงเกือบ 40 กว่าปีที่ผ่านมา หรือช่วงปี ค.ศ. 1982 บริเวณค่ายอพยพชาวปาเลสไตน์แถบกรุงเบรุตโดยอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอลซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในช่วงขณะนั้น คือ “นายAriel Sharon” เพื่อเล่นงานนักรบปาเลสไตน์ประมาณ 2,000 คนที่คาดว่าซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น จนเป็นที่รู้จักกันในนาม “การสังหารหมู่ที่ซาบราและชาทิลา” (Sabra and Shatila massacre) อันนั้น...ต้องเรียกว่า “ม.ม้า” หายเกลี้ยง!!! ไปจากพจนานุกรมกองทัพอิสราเอล ไม่เหลือแม้แต่เส้นขนปลายหางเอาเลยก็ว่าได้ โดยไม่ว่าฟังจากรายงานข่าวของสื่อกระแสหลัก หรือของผู้สื่อข่าวตะวันตกแท้ๆ ไม่ว่าหนังสือพิมพ์นอร์เวย์ อเมริกัน อังกฤษ ฯลฯ ต่างออกมาในแนวเดียวกันทั้งสิ้นดังที่ “Robert Fisk” อดีตเหยี่ยวข่าวมือฉมังแห่งตะวันออกกลางของหนังสือพิมพ์ “The Independent” ได้บรรยายถึงสภาพหลังการบุกโจมตีของทหารอิสราเอลต่อพื้นที่ดังกล่าวไว้เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้วดังนี้ว่า...
“ผมไม่เคยเห็นเด็กที่ไร้เดียงสาถูกเข่นฆ่าเช่นนี้มาก่อน ผู้อพยพทั้งที่เป็นผู้หญิง เด็กหญิง เด็กชาย นอนตายกันเกลื่อน โดยที่มือ แขน หรือขาขาดหายไป บางคนหัวขาด หรือไม่ก็ไส้ทะลัก ศพทารกหลายรายไม่มีหัว จะเป็นเพราะสะเก็ดระเบิดของทหารอิสราเอลตัดผ่านพวกเขา ขณะที่หลบอยู่ในที่พักของสหประชาชาติโดยเชื่อว่าต้องปลอดภัย หรือจะเป็นด้วยเหตุใดก็ไม่อาจทราบได้ หน้าอาคารกองบัญชาการทหารฟิญิอานของสหประชาชาติที่กำลังไฟไหม้ ผมพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ กอดศพชายผมสีเทา เขย่าศพนั้นไป-มาพร้อมกับร้องไห้ ทหารสหประชาชาติยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร แต่ในมือของเขามีร่างเด็กคนหนึ่งที่หัวขาดไปจากตัว การบุกโจมตีในช่วงเวลา 10 วันของทหารอิสราเอลเป็นไปอย่างเหี้ยมโหดทารุณจนไม่น่าเชื่อว่า...จะมีใครให้อภัยต่อการสังหารหมู่คราวนี้ได้”...
นี่...ต้องเรียกว่า แทบไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถาม สำหรับการคิดจะกวาดล้างพวกนักรบฮามาสในเขตฉนวนกาซาคราวนี้ ไม่ต้องถามว่าใครทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลเพราะอย่างที่สำนักข่าว “Aljazeera” เขาได้นับจำนวนระเบิดที่กองทัพอากาศอิสราเอลทิ้งใส่พื้นที่แค่ 365 ตารางกิโลเมตรในบริเวณดังกล่าว เพียงแค่ช่วง 6 วันของสงคราม ก็ปาเข้าไปไม่น้อยกว่า 6,000 ลูก หรือเท่ากับระเบิดที่กองทัพอากาศอเมริกาเคยทิ้งใส่ประเทศอัฟกานิสถานทั้งประเทศในช่วงตลอด 1 ปี เอาเลยถึงขั้นนั้น ขนาดยังไม่ถึงขั้นปฏิบัติการภาคพื้นดิน ที่ทหารอิสราเอล 360,000 คนกำลังเงื้อๆ ง่าๆ เตรียมลงมือ ลงตีน ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ ก็เล่นเอาเด็ก ผู้หญิง คนแก่-คนชรา ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 ราย บาดเจ็บอีกเป็นหมื่นๆ ไร้ที่นาคาที่อยู่อีกเกือบครึ่งล้าน โดยแนวโน้มที่จะต้องตายเพิ่ม บาดเจ็บเพิ่ม หรืออาจถึงขั้น “สูญพันธุ์” เอาเลยก็เป็นได้ ย่อมมีความเป็นไปได้อย่างมิอาจปฏิเสธ เพราะโรงพยาบาลทุกโรงในฉนวนกาซาขณะนี้ ต่างไม่มีพลังงาน ไม่มีไฟฟ้าใช้ พอที่จะช่วยเหลือ เยียวยา ใครต่อใครได้เลย...
แถมการเปิดศึกของกองทัพอิสราเอลคราวนี้ แทบไม่ได้สนใจว่าจะเปิดอีกสักกี่ด้าน กี่แนวรบกันแน่!!! คือไม่เพียงแต่เตรียมบุกฉนวนกาซา ให้พังพินาศฉิบหายวายวอดแบบเดียวกับ “ซาบราและชาทิลา” แต่ยังหันไปสาดจรวด ทิ้งระเบิดเข้าใส่พวก “Hezbollah” ในเลบานอน พร้อมการส่งเสียงคำรามของรัฐมนตรีกลาโหมประเภท “ขวาตกขอบ” อย่าง “นายYoav Gallant” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (21 ต.ค.) ว่าพวก “Hezbollah” ต้อง “จ่ายคืนราคาแพง” อย่างแน่นอน หลังจากที่จรวด 20-30 ลูกหล่นใส่ฐานทัพทหารอิสราเอลใน “Mount Dov” และ “Metula” ฯลฯ รวมถึงซีเรียที่เริ่มกลายเป็นแนวรบไปอีกด้าน เมื่อจรวด 2-3 ลูกตกใส่ที่ราบสูงโกลัน ส่งผลให้เครื่องบินทิ้งระเบิดอิสราเอลหันไปถล่มสนามบิน “Aleppo International Airports” ชนิดต้องหยุดใช้งานชั่วคราว ผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย กันไปไม่น้อย แม้แต่อิหร่านที่พยายามอดทน อดกลั้น ยืนดูอยู่ห่างๆ ก็ยังมิวายถูกรัฐมนตรีเศรษฐกิจอิสราเอล “นายNir Barkat” หมายหัวเอาไว้ล่วงหน้าถึงขั้นเตรียม “Wipe Iran off the face of the Earth” หรือ “ลบออกจากผืนโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ยิ่งมี “ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกาและพวก “พรมเช็ดเท้า” ในยุโรป ออกมายืนเคียงข้างแบบไม่ต้องสนใจกระแสเสียงของชาวโลกต่อไปอีกแล้ว ยิ่งทำให้กองทัพอิสราเอลยิ่งน่าจะ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ยิ่งขึ้นไปใหญ่ ไม่เพียงแต่ “เรือบรรทุกเครื่องบิน” 2 ลำของสหรัฐฯ ออกมาลอยลำในน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คอยปัดป้องจรวดที่พวก “Houthi” ในเยเมนยิงใส่ลูกแล้ว-ลูกเล่า การนำเอาระบบป้องกันภัยทางอากาศ อย่าง “THADD” (Terminal High Altitude Area Defense) และ “Patriot” เข้ามาติดตั้งในตะวันออกกลาง เพื่อคอยปกป้องอิสราเอลอย่างเป็นการเฉพาะ ยิ่งทำให้แนวรบแต่ละด้านมีโอกาสบานปลาย ปลายบาน เข้าไปทุกที เพราะอาวุธอย่าง “THADD” ไม่ใช่แค่ระบบ “ป้องกัน” เท่านั้น แต่ยังสามารถ “โจมตี” ได้อีกด้วย ถึงได้ทำให้ทั้งจีนและรัสเซีย อดไม่ได้ที่จะต้องออกมาโวย ขณะที่คุณพ่ออเมริกาคิดเอาไปติดตั้งไว้ในประเทศเกาหลีใต้ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2016 และถูกชาวเกาหลีใต้ต่อต้านจนต้องเลิกราไปในที่สุด...
สรุปรวมความแล้ว...การสนับสนุนอิสราเอลแบบไม่คิดสนใจความถูกต้อง-ชอบธรรม มนุษยธรรม หรือกระแสเสียงชาวโลกเอาเลยแม้แต่น้อย ของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรยุโรป ก็แทบไม่ต่างไปจากการโหมฟืน โหมไฟ การเพิ่มความเหี้ยมให้กับลูกหลานชาวยิวให้ยิ่งๆ ขึ้นไปนั่นเอง ทั้งที่บรรดาประเทศต่างๆ แทบจะทุกซีกโลก ไม่ว่ากลุ่มประเทศสันนิบาตอาหรับ (Arab Leage) สหภาพแอฟริกา (Africa Union) พี่เบิ้มในละตินอเมริกาอย่างบราซิล รวมทั้งจีน-รัสเซียและแทบทุกประเทศในตะวันออกกลาง ต่างเรียกร้องให้ “หยุดยิง” ให้หันมาใช้วิถีทางการเมือง-การทูตเป็นทางออก แม้ว่า “นักการเมือง” ในอเมริกาจะออกมาคุยโว โอ้อวด ว่าประเทศตัวเองมี “เงิน” พอที่จะสนับสนุนทั้งอิสราเอลและยูเครนได้แบบไม่อั้น ดังที่รัฐมนตรีคลัง “นางJanet Yellen” ออกมา “สมรักษ์ คำสิงห์” ไว้เมื่อวัน-สองวัน แต่อย่างที่นักข่าวอเมริกัน “นายBradley Blankenship” ได้ตั้งคำถามเอาไว้นั่นแหละว่า การนำเอาภาษีอากรประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ของอเมริกันชนมาใช้ในการ “จุดไฟสงคราม” แทนที่จะหันไปใช้วิธีทางการเมือง-การทูต เพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพ ทั้งที่ชาวอเมริกันรวมทั้งชาวยุโรปอีกด้วย ต่างก็กำลัง “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งนั้น อะไรมันจะ “มืดบอด” (Blind Support) เท่านี้ย่อมไม่น่าจะมีอีกแล้ว!!!
อาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัย “St. Thomas” ในแคนาดาอย่าง “Dr.Shaun Narine” ถึงได้ฟันธงลงไปแบบมิดด้าม เต็มด้าม ประมาณว่า “US Blind Support for Israel Gives China Powerful Advantage to Woo Arab World” กับสำนักข่าว “Sputnik” เมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่าการสนับสนุนแบบ “มืดบอด” ของอเมริกาต่ออิสราเอล กลับทำให้ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีนเพิ่มความได้เปรียบในโลกอาหรับยิ่งขึ้นไปเท่านั้นเพราะขณะที่ไฟกำลังลุกโพลงอยู่ในฉนวนกาซา “ตัวแทนพิเศษ” ของรัฐบาลจีน อย่าง “นายZhai Jun” ก็รีบโดดลงมาร่วมประชุม “Palestine summit” ที่กรุงไคโรประเทศอียิปต์ ร่วมกับผู้นำอียิปต์ จอร์แดน ปาเลสไตน์ รัสเซีย ไปจนถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ฯลฯ เพื่อหาทางออก-ทางไปให้กับสันติภาพ ขณะที่ผู้นำอเมริกาต่างถูกปฏิเสธโดยบรรดาผู้นำชาติอาหรับชนิดแม้แต่การพูดคุยทางโทรศัพท์ก็ยังไม่คิดจะยกหูรับเอาเลยถึงขั้นนั้น...
ความ “มืดบอด” หรืออาจจะเรียกว่า “ความโง่” ก็คงไม่ถึงกับผิดพลาดจนเกินไป ของผู้นำและนักการเมืองอเมริกา เลยทำให้คู่แข่ง คู่ชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่แม้จะบ้าในบางเรื่อง-บางราว แต่ไม่ถึงกับ “บ้าสงคราม” มากมายสักเท่าไหร่นัก เลยต้องออกมาป่าวประกาศกับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายว่า...“เรากำลังถูกนำพาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะความไร้สมรรถภาพของผู้นำที่นำโดยประธานาธิบดีผู้โง่เขลา”... อันเนื่องมาจากการสนับสนุนอิสราเอลแบบไม่สนใจความถูก-ผิด ความชอบธรรม-ไม่ชอบธรรม หรือมนุษยธรรมใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศอเมริกาสูญเสีย “ความเป็นพันธมิตร” อันเป็น “กุญแจสำคัญ” ของสงครามเย็นยุคใหม่ ดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาเองเคยย้ำนัก-ย้ำหนา แต่ยังทำให้ชาวอเมริกาต้องสูญเสียเงินภาษีประชาชนไปอีกไม่รู้กี่ต่อกี่ล้านๆ ดอลลาร์ ขณะที่สิ่งซึ่งอาจได้รับตอบแทนคืนมา ก็คงแค่ “เงินบริจาค” โดยบรรดานักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายยิวทั้งหลายสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในช่วงปีหน้าเท่านั้นเอง...