อย่างที่ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศจีน “Wang Yi” ท่านถึงกับต้องออกปากเอาไว้เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่แล้ว (15 ต.ค.) หลังการพูดคุยทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย “เจ้าชายFaisal bin Farhan Al Saud” ถึงการตอบโต้เอาคืนของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ว่ามันเลยเถิดไปกว่า “การป้องกันตนเอง” ไม่รู้จะกี่ขุมต่อกี่ขุมเข้าไปแล้ว และถึงเวลาแล้วที่ “อิสราเอลควรหันมาให้ความสนใจต่อเสียงเรียกร้องของประชาคมระหว่างประเทศ” หรือแม้แต่เลขาธิการสหประชาชาติ ต่อการลงโทษชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา ที่ส่งผลให้พลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องบาดเจ็บ ล้มตายยิ่งกว่าชาวอิสราเอลที่ถูกพวก “ฮามาส” สังหารไม่รู้จะกี่ร้อยต่อกี่ร้อยศพ มีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนแก่-คนชรา แถมยังถูกตัดไฟ ตัดน้ำ ตัดพลังงาน ตัดยารักษาโรค ผู้คนพลัดที่นาคาที่อยู่อีกไม่รู้กี่แสนต่อกี่แสน...ฯลฯ
และอันที่จริงก็ไม่ใช่แต่เฉพาะ “ประชาคมระหว่างประเทศ” เท่านั้น ที่ไหนที่มีชาวปาเลสไตน์ หรือมีผู้ที่รู้จักเห็นอก-เห็นใจต่อความทุกข์-ความเดือดร้อนของผู้อื่น โดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกระทำย่ำยีโดยรัฐบาลอิสราเอลมาไม่รู้กี่ต่อกี่ทศวรรษ ต่างก็อดรนทนไม่ได้ ต้องออกมาระบายความอึดอัด คับข้องใจกันเป็นสายๆ เกิดการประท้วง เดินขบวนในประเทศต่างๆ ชนิดแทบจะทั่วทุกซีกโลกเอาเลยก็ว่าได้ ไล่มาตั้งแต่อิหร่านที่ผู้คนนับพัน นับหมื่น ออกมาชูป้าย กู่ก้องร้องตะโกนว่า “ไปตายเสียเถิด...อิสราเอล ไปตายเสียเถิด...ไซออนิสต์” อะไรประมาณนั้น ในเมืองต่างๆ ไม่น้อยกว่า 7-8 เมือง ในอิรักผู้คนนับพันๆ แห่ไปรวมตัวที่จัตุรัส “Tahrir” ในกรุงแบกแดด เรียกร้องให้อิสราเอลเลิก “ยึดครองดินแดน” ผู้อื่นเสียที แถมหันไปด่าทอ “ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกาผู้สนับสนุนอิสราเอลและยูเครน แบบสาดเสีย-เทเสีย...
ในจอร์แดน...ถึงแม้ทางการจะออกคำสั่งไม่ให้ออกมาประท้วงในเรื่องชาวปาเลสไตน์ แต่ผู้คนนับเป็นหมื่นๆ ไม่คิดจะฟังอีร้าค่าอีรมใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ออกมารวมตัวที่จัตุรัสกรุงอัมมาน หน้าสุเหร่า “Grand Hussein” เพื่อแสดงความสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ แล้วยังตามไปประท้วงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายAntony Blinken” ที่มีกำหนดพบปะกับผู้นำจอร์แดน “King Abdullah” จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ขึ้นมาจนได้ ส่วนที่เยเมน...ขบวนผู้ประท้วงออกมาแสดงความโกรธ กริ้ว ฉิวฉุน ชนิดวันแล้ว-วันเล่า ประกาศว่าจะไม่ยอมทอดทิ้งบรรดาผู้ที่ถูกกดขี่อย่างชาวปาเลสไตน์โดยเด็ดขาด แม้แต่ประเทศที่คิดหันไปญาติดี คิดไปสานสัมพันธ์โดยปกติกับอิสราเอล ไม่ว่าโอมาน บาห์เรน กาตาร์ ฯลฯ ต่างก็เต็มไปด้วยบรรดาผู้ประท้วงที่เรียกร้องให้รัฐบาลหันมายืนเคียงข้างชาวปาเลสไตน์ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แถมยังลามไปถึงยุโรปและอเมริกาอีกด้วยต่างหาก...ที่บรรดาผู้อพยพหลบหนีภัยจากตะวันออกกลาง อันเนื่องมาจากการแทรกแซงของประเทศตะวันตกต่อภูมิภาคแห่งนี้ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า กระจัดกระจายอยู่ในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะที่ฝรั่งเศสออกจะหนักหน่อย เพราะนอกจากเจอกับขบวนประท้วงของบรรดาชาวฝรั่งเศสที่ไม่พอใจรัฐบาลในเรื่องต่างๆ มาโดยตลอดยังถูกผสมโรงไปด้วยบรรดาผู้ที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ไปจนผู้ที่คว้ามีดมาไล่แทงครูบาอาจารย์ชาวฝรั่งเศส จนก่อให้เกิดบรรยากาศโกรธ-เกลียด-เคียดแค้น-ชิงชัง กันไปทั้งประเทศ ชนิดรัฐบาลต้องออกมา “ยกระดับการเตือนภัย” อย่างเป็นระบบเป็นกิจการ ขณะที่ในอังกฤษนั้น...ผู้คนออกมารวมตัวในกรุงลอนดอนนับเป็นหมื่นๆ แถมยังกระจัดกระจายไปยังเมืองแมนเชสเตอร์ เอดินเบอระ ยันไปถึงกลาสโกว์ในสกอตแลนด์ ฯลฯ นอกจากจะเรียกร้องให้ “คว่ำบาตรอิสราเอล” ยังหันไปด่าผู้นำตัวเอง อย่างนายกรัฐมนตรี “ฤาษี สุนัข” (Rishi Sunak) หาว่าน่าเกลียด น่าชัง น่าละอายไปซะอีกต่างหาก ไม่ต่างไปจากสวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ออสเตรีย ฯลฯ ไปจนถึงอเมริกาโน่นเลย ที่ขบวนเรียกร้องให้ “ปลดปล่อยชาวปาเลสไตน์” อุบัติขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ว่ามหาวิทยาลัยนิวยอร์ก มหาวิทยาลัยอินเดียนา แอริโซนา แคลิฟอร์เนีย นอร์ท แคโรไลนา และมหาวิทยาลัยโคลอมเบีย ฯลฯ กระทั่งโพลสำรวจความคิดเห็น “Voxmeter” ของเดนมาร์ก ยังถึงกับระบุว่าชาวโคนมกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าชาวปาเลสไตน์มีความชอบธรรมที่จะโจมตีต่อผู้กดขี่อย่างอิสราเอลอีกซะด้วย!!!
จะด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เลยทำให้รัฐบาลขวาสุดกู่ของอิสราเอล เลยตัดสินใจเลื่อนแผนการ “บุกฉวนกาซา” ไปอีกสักพัก ส่วนจะบุกตอนไหน? เมื่อไหร่? ก็ยังไม่เป็นที่สรุป แต่ที่แน่ๆ...การสังหาร พร่าผลาญผู้คนพลเมืองชาวปาเลสไตน์ไปแล้วไม่รู้กี่ต่อกี่พันศพ ผู้นำอิสราเอลอย่างนายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” ท่านสรุปไว้ชัดเจนว่า “นี่...เป็นเพียงการเริ่มต้น!!! เท่านั้น” เพราะ “ศัตรูของเรามีหนทางเดียวที่จะต้องได้รับ นั่นคือการจ่ายคืน” ให้สมแค้นตาแม้นอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ส่วน “ราคาแห่งความแค้น” ของอิสราเอลจะมีค่า มีน้ำหนักมาก-น้อยเพียงใด? ก็แล้วแต่ แต่ในสายตาของผู้ที่อยู่กลางๆ ไม่ว่าสหประชาชาติ ประชาคมระหว่างประเทศ และโดยเฉพาะมหาอำนาจอันดับสองอย่างพญามังกรจีนท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ “Wang Yi” ท่านได้ออกมาชั่งน้ำหนักเอาไว้แล้วว่า มันคง “ไม่ยุติธรรม” สักเท่าไหร่นักสำหรับผู้ที่ถูกทวงคืนและถูกกดขี่มานับทศวรรรษๆ อย่างบรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย จนอดไม่ได้ต้องออกมาประณามการทำร้ายพลเรือนและละเมิดกฎ-กติการะหว่างประเทศ หลังจากได้พบปะกับหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศอียู “นายJosep Borrell” เมื่อช่วงวันเสาร์ (14 ต.ค.) ที่ผ่านมา...
และแม้ว่า “นายJosep Borrell” ผู้นี้...จะเคยถูก “ทัวร์ลง” ในกรณีการอุปมา-อุปไมยว่ายุโรปทั้งยุโรปคือ “สวนดอกไม้” ขณะที่ส่วนอื่นของโลกคือ “ป่าดงดิบ” อะไรประมาณนั้น แต่มาคราวนี้...โดยสุ้มเสียงก็ชักจะเริ่มปรับเปลี่ยนให้พอรื่นหูอยู่มั่ง ไม่ว่าการยอมรับว่าการออกคำสั่งให้ชาวปาเลสไตน์นับล้านๆ อพยพจากเหนือไปใต้ ของกองทัพอิสราเอลเป็นสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” แล้ว ยังได้พยายามแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้คิดจะเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้คุณพ่ออเมริกาอย่างหน้ามืด-ตามัวอีกต่อไป ด้วยการยอมรับว่า...แม้ว่าการหาทางออก-ทางไประหว่างอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ ด้วยแนวนโยบายที่เรียกว่า “Two-state solution” จะยังคงเป็นไปไม่ได้ อันเนื่องมาจากอเมริกาและอิสราเอลไม่เอาด้วย แต่ก็ถือเป็นแนวนโยบายที่ควรให้การสนับสนุนต่อไป หรืออย่างที่จีนและรัสเซียได้ออกมาสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ไว้ก่อนหน้านั้น...
อย่างไรก็ตาม...การส่งเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 2 “USS Dwight D. Eisenhower” หลังจากส่งเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรก “USS Gerald R. Ford” ของอเมริกาไปช่วยอิสราเอลรุมกระทืบชาวปาเลสไตน์ให้เต็มเท้า-เต็มตีนนั้น นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศความขมึงตึงเครียดในตะวันออกกลาง บรรเทาเบาบางลงมาได้เลย ยังกลายเป็นการกระตุ้น ยั่วยุ การโหมกระพือ “ไฟสงคราม” ให้ยิ่งลุกโชนหนักขึ้นไปอีก แม้ว่าที่ปรึกษาทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” จะยืนหยัด ยืนยันว่าไม่คิดจะส่งกำลังภาคพื้นดินเข้าไปร่วมกระทืบชาวปาเลสไตน์ก็ตาม แต่การปกป้อง ป้อมปราม ไม่ให้ใครที่คิดจะหยุดยั้งความโหดเหี้ยมอำมหิตของกองทัพอิสราเอล ให้ “ม.ม้า” พอวิ่งตามทันได้มั่ง ก็มีแต่จะยิ่งติดๆ ขัดๆ ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ทั้งๆ ที่บรรดาชาวโลกทั้งหลาย ต่างอยากจะเห็นทางออก-ทางไปที่ยังพอหลงเหลือกลิ่นอายของ “สันติภาพ-สันติธรรม” แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ไม่ว่าชาติแอฟริกา อย่าง “The African Union” หรือชาติอาหรับอย่าง “The Arab League” ที่ร่วมออกแถลงการณ์กระตุ้นให้อิสราเอลเลิกแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับผู้คนในฉนวนกาซาโดยเร็วที่สุด และเรียกร้องให้สหประชาชาติหยุดยั้งเหตุการณ์ “กลียุค” ไว้ก่อนหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะ...สายเกินไป!!! อันเป็นท่าทีเช่นเดียวกับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกาอย่างจีนและรัสเซียนั่นเอง...
แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อ “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างอเมริกา ยังคงถือหางพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก อคติและอวิชชาใดๆ ลงไปเลยแม้แต่น้อย โอกาสที่ “แนวรบ” ในด้านเลบานอน โดยกองกำลัง “Hezbollah” จะเปิดฉาก ตามด้วยซีเรีย อิรัก อิหร่าน ไปจนถึงปากีสถานโน่นเลย ฯลฯ ย่อมมีความเป็นไปได้ไม่มาก-ก็น้อย โดยไม่ว่าใครแพ้-ใครชนะ ใครจะหายแค้น-สมแค้น หรือใครจะเป็นเสือล้างสิงห์-เป็นลิงล้างก้นก็แล้วแต่ โอกาสที่ “ราคาน้ำมัน” จะพุ่งระเบิดเถิดเทิง ชนิดทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ตามด้วยความสับสนระส่ำระสายจากบรรดาผู้อพยพตะวันออกกลางในยุโรป ชนิดอาจส่งผลให้ “เศรษฐกิจโลก” ที่กำลังพังแหล่-มิพังแหล่ ย่อมมีแต่ต้องพังครืนลงมา พร้อมๆ กับ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” ที่จะถูกจุดขึ้นมาในตะวันออกกลาง ตามแนวคิดทฤษฎี ที่เรียกๆ กันว่า “Military Keynesianism” หรือ “ลัทธิเคนเนเชียนทางทหาร” อันเป็นอะไรน่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งกว่าการ “แจกเงินดิจิทัล” รายละหมื่นบาท ของพรรคเผาไทยบ้านเรา ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...