"โสภณ องค์การณ์"
นโยบายรัฐบาลแจกเงินดิจิตอลหัวละ 10,000 บาทกำลังเป็นเรื่องถกเถียง กันในกลุ่มประชาชนและนักวิชาการผู้รู้ต่างๆ ในสังคม
รัฐบาลเปลี่ยนตัวคนมาอธิบายโดยยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน ที่แน่ชัดก็คือพยายามจะตัดงบประมาณและส่วนหนึ่งเป็นการกู้เงิน
ตัวเลขที่จะสร้างหนี้สินมหาศาล 560,000 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องย่อยเพราะจะทำให้เกิดปัญหาสารพัดด้านขาดดุลงบประมาณและการสร้างหนี้สินเพิ่มประชาชนต้องใช้หนี้คืนอีกหลายปี
ที่ยังไม่ยอมอธิบายชัดเจนว่าทำไมจึงต้องเป็นเงินดิจิทัลและแจกผ่านระบบโทเค็น แต่เมื่อมีคนสืบเสาะก็รู้เลยว่ ามันมีค่าธรรมเนียมที่บริษัทจัดการจะได้มากกว่า 30,000 ล้านบาท
ถ้าการจัดการต้องมีเงินค่าธรรมเนียม ครั้งละ 300 บาททั้งขาไปและขากลับจะทำให้บริษัทนายหน้าได้ 600 บาทต่อธุรกรรมสองรอบ
เงินค่าบริการจะถูกต้องตามกฎหมายและบริษัทนายหน้าจะได้เงินโดยที่เป็นเพียงตัวกลางซึ่งคำถามที่ยังไม่มีคำตอบก็คือใครเป็นผู้ที่จะได้ผลประโยชน์
เป็นพวกนายทุนนักธุรกิจที่อยู่ในรัฐบาลหรือเชื่อมโยงกับคนของรัฐบาลชุดปัจจุบันใช่หรือไม่
การเสียเงินค่านายหน้ากว่า 30,000 ล้านบาทจึงเป็นเรื่องที่เหมือนกับประชาชนโดนปล้นขณะที่ต้องใช้หนี้สินอีกหลายปีชั่วลูกชั่วหลาน
นโยบายแจกเงินดิจิทัลจึงพลิกผันไปมา ตามคำถามและแรงกดดันของสังคม ทำให้ผู้มาอธิบายต้องเปลี่ยนคำพูดเพราะปัญหาหลักคือยังไม่มีเงิน ทั้งยังมีปัญหาทางกฎหมายว่าจะผิดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นๆ อีกหรือไม่โดยพฤติกรรมที่ผ่านมาของนักการเมืองในนโยบายประชานิยมไม่น่าไว้วางใจ
ทั้งเรื่องจำนำข้าว รถยนต์คันแรก แจกแท็บเล็ตให้นักเรียนล้วนเป็นความล้มเหลวสร้างหนี้สินปัญหาด้านการเงินมหาศาลแต่ก็ยังพยายามจะทำกัน
นี่คงไม่ใช่นโยบายเชิงคอรัปชั่น แต่เป็นการคอรัปชั่นแทบไม่ต้องใช้ชั้นเชิง เป็นการปล้นแบบซึ่งหน้าและอ้างว่าเป็นนโยบายที่ต้องทำหลังจากการหาเสียง
อันที่จริงถ้าคณะกรรมการเลือกตั้งจะไล่บี้ว่าช่วงไปหาเสียงจะเอาเงินมาจากไหน ให้อธิบายชัดเจนแต่กลับไม่ทำเพราะการหาเสียงช่วงก่อนเลือกตั้งเป็นการเกทับบลัฟแหลก เพื่อชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์
เงินดิจิทัลหัวละ 10,000 บาทจึงถูกพลิกผันว่าใครอยากจะได้ต้องแสดงตัวตน ไม่ใช่แจกถ้วนหน้าทั้งเศรษฐีและยาจกที่มีอายุเกิน 16 ปี
นับว่าเป็นการปลิ้นปล้อนกะล่อนทองมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก แต่พฤติกรรมอย่างนี้นักการเมืองพร้อมจะทำแม้ต้องเสี่ยงกับคุกตะรางเมื่อตกจากอำนาจรัฐ
ประชาชนยุคนี้ต้องยืนหยัดไม่ยอมให้มีการปล้นซึ่งหน้าเพราะโครงการแจกเงินที่จะต่อเห็นชัดเจนว่าผู้ได้ประโยชน์คือบริษัทนายหน้าตัวแทนจัดการ
ใครเป็นใครในรัฐบาลนี้ที่มีความเชี่ยวชาญการค้าขายการออกหุ้นกู้และการหากินกับค่านายหน้าคงไม่ต้องชี้ตัว เปิดโทรทัศน์วันไหนเวลาใดก็เห็นหน้า
บางคนมีโหงวเฮ้งโจรชัดโดยไม่ต้องแต่งเสริมอะไร
การแจกเงิน ดิจิทัลยังอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชนแต่ไม่ยอมบอกว่าเงินที่จะแจกนั้นไม่ใช่เงินสด จับต้องไม่ได้อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์
เดี๋ยวนี้เริ่มมีขบวนจัดตั้งถือป้ายเรียกร้องว่าต้องการเงินดิจิทัล แต่ความจริงก็คือชาวบ้านจะไม่สามารถจับต้องเหมือนเงินสดได้และมีข้อจำกัด
พวกที่จะจับเงินเป็นก้อนชัดเจนก็คือบรรดาบริษัทนายหน้าตัวแทนในการจัดการแลกโทเค็นทั้งขาไปและกลับนั่นเองเป็นการรวยแบบเฉียบพลัน
ถือปืนบุกปล้นธนาคารยังไม่ได้เงิน มาก อย่างนี้และยังเป็นการกระทำที่กฎหมายรับรองอีกด้วย
จะทำมาค้าขายอะไร ที่จะได้กำไรกว่า 30,000 ล้านบาทในเวลาเพียงไม่ถึงปี และชาวบ้านที่ได้รับเงินหัวละ 10,000 บาทก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องใช้หนี้คืนด้วย
เจ้าของโครงการเงินดิจิทัลสบายไปพร้อมกับกลุ่มบริษัทนายหน้าตัวแทน และยังจะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลแรกในโลกที่สามารถทำอย่างนี้ได้ เป็นการทุจริตคอรัปชั่นเชิงนโยบายที่กำหนดมาเพื่อปล้นเงินที่ประชาชนต้องรับสภาพหนี้สินหลายปี
ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ร่ำรวยด้วยการกู้เงิน ไม่มีประเทศใดที่อยู่สบายเมื่อมีอัตราเงินเฟ้อสูงจนธนบัตรไร้ค่าเหมือนช่วงก่อนฮิตเลอร์มีอำนาจในเยอรมนี
ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าใกล้วิกฤติและยังไม่มีช่องทางใดจะแก้ปัญหานี้ได้เพราะรัฐบาลทุกชุดมุ่งแต่กู้เงิน
แม้จะมีนักวิชาการผู้รู้และคนจากหลายวงการเตือนว่ารัฐบาลไม่ควรกระทำโครงการแจกเงินดิจิทัล ผู้มีอำนาจยืนแบบหัวเด็ดตีนขาดว่ายกเลิกไม่ได้
ดังนั้นต้องวัดใจพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะเออออห่อหมกร่วมขบวนการ ปล้นเงิน ก้อนใหญ่อย่างนี้หรือไม่เพราะคณะรัฐมนตรีต้องเสี่ยงติดคุกตะรางด้วยกัน
กลุ่มนักการเมืองและข้าราชการพ่อค้าในโครงการทุจริตจำนำข้าวยังติดคุกซึ่งมาจากพรรคการเมืองที่เป็นใหญ่ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกหรือไม่
เริ่มมีเสียงเตือนแล้วว่ารัฐบาลนี้อาจจะอยู่ได้ไม่นานถ้ายังดันทุรังผลักดันโครงการเงินดิจิตอลเพราะยังมีเวลาที่ประชาชนจะแพร่กระจายความรู้ความเข้าใจให้ชาวบ้าน ถึงภัยร้ายแรงจากการเป็นหนี้สิน
อยากจะรู้เหมือนกันว่ารัฐบาลนี้จะอยากเสี่ยงคุกหรือไม่