xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของ “ปรัชญาตะวันตก”(ตอนสิบสี่) “คำคม” แนวคิดของ “ฮอบส์”?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


โธมัส ฮอบส์ ภาพเหมือนโดยจอห์น ไมเคิล ไรต์
“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

บทความที่แล้วบอกเล่าถึงชีวิตของนักปรัชญา “โธมัส ฮอบส์” คราวนี้ขอนำเสนอคำคมของเขานะครับ..

“ฮอบส์” แยกแยะ “ความรู้” ดังนี้ “ความรู้ที่สอนให้เราทำงานศิลปะหรืองานหัตถกรรมได้ เป็นความรู้ที่ช่วยให้เรายังชีพได้ แต่ความรู้ที่สอนให้เราเป็นอิสระจากสิ่งที่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ จะไม่เป็นความรู้ที่แท้จริงหรือ?”

อืม..มิสเตอร์ “ฮอบส์” พูดชวนให้ชาวโลก “คิดลึก-คึกฤทธิ์” ดีนะครับ..

“ฮอบส์” บอกต่อว่า “ประการแรก แนวโน้มทั่วไปของมนุษยชาติทั้งมวล คือความปรารถนาซึ่งอำนาจอย่างไม่หยุดนิ่ง และไม่มีที่สิ้นสุด ความปรารถนานี้จะสิ้นสุดต่อเมื่อผู้นั้นตายลง”

นักปรัชญา “ฮอบส์” ยังย้ำต่อว่า.. “การไม่เชื่อในพลังอำนาจ ก็เหมือนกับการไม่เชื่อในแรงโน้มถ่วง”

เออจริงเว้ย “ฮอบส์”! มนุษย์ทุกคนจึงทุ่มเททุกวิถีทาง เพื่อให้ได้ “อำนาจรัฐ”! ถ้า “อำนาจรัฐ” อยู่ในมือ “คนดี” ซึ่งรักชาติรักประชาชนด้วยความจริงใจ ย่อมแก้ไข “ต้นเหตุปัญหา” ได้แทบทุกเรื่อง!

ทว่า..หาก “อำนาจรัฐ” ตกไปอยู่ในมือของ “ผู้มีอำนาจชั่ว” คราวนี้ก็ “เรือหาย-ชิพหาย” น่ะสิครับ! “ชาติประชาชน” จะย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะ “ผู้มีอำนาจ” กับพวกจะโกงชาติไงล่ะ!

“ฮอบส์” ยังติงเตือนด้วยว่า “วิทยาศาสตร์คือความรู้ที่เป็นชุดต่อเนื่องกัน และขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงอื่น”
เอ๊ะ!..ตรงนี้ “ฮอบส์” ชี้ถึงจุดอ่อนตัวเองใช่ไหมว่า “มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่อาจรับรู้ว่า มีคนอื่นอีกมาก ที่มีอารมณ์ขันกว่าตน มีโวหารที่คมคายกว่า หรือเรียนรู้มามากกว่า แต่กระนั้น..ก็ยากที่มนุษย์จะเชื่อว่า มีคนที่สูงส่งกว่าตนอยู่มาก”

อ้อ! ถ้าพูดแบบ “นักปรัชญาฮอบส์” ก็คือ “มนุษย์” อดชื่นชม “ตนเอง”กับพวกในอาชีพเดียวกันไม่ได้ว่ะ..ฮ่าฮ่าฮ่า..เอิ๊ก!!..

อืม..ใจของ “นักบวช-นักปรัชญา” ที่แท้จริง รวมถึงบรรดา “ผู้ใฝ่หาความรู้” อย่างถูกต้องลึกซึ้ง ย่อมมี “จิตอยู่เหนือความตาย” พวกเขาจะดำรงชีวิตอย่างเข้าใจ “ความรู้” ทำให้ “มนุษย์อยู่เหนือความตาย” ซึ่งต้องโผล่มา “เยี่ยมเยือน”ไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่นอน!

“สิทธิแห่งธรรมชาติ.. คือเสรีภาพที่ทุกคนพึงใช้อำนาจแห่งตน ตามเจตนารมณ์แห่งตน เพื่อปกป้องธรรมชาติของตนไว้ ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือ เพื่อปกป้องไว้ซึ่งชีวิตของตนเอง”

และ“ฮอบส์” ยังบอกด้วยว่า “โดยตัวของมันเองแล้ว กฎแห่งธรรมชาติ (เช่น ความยุติธรรม ความเท่าเทียม ความพอประมาณ ความเมตตาและการปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเราพึงได้รับจากผู้อื่น) หากปราศจากซึ่งความกลัวในอำนาจอื่น ที่คอยบีบบังคับให้ต้องปฏิบัติตามแล้ว กฎแห่งธรรมชาตินั้น คือสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับความปรารถนาของเรา ซึ่งจะพาเราไปสู่สภาวะของการเลือกข้าง ความภาคภูมิใจ การแก้แค้น และอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน”

โอ๊ย!..“ฮอบส์” พูดให้คิดเสียยาวยืด เพราะมันชวนคิดชวนถกแถลงกันฉันท์มิตร “นักปรัชญา” ก็เป็นอย่างนี้แหละ..บางคนขยายความแล้วยิ่งเข้าใจยากส์ส์ส์! แต่ “นักปรัชญาบางคน”อธิบายเรื่องแสนยากให้ผู้ฟังผู้อ่านเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ว่ะ

เอาเป็นว่า.. เรามาฟัง “ฮอบส์” พูดต่อเพราะยังไม่จบ..อย่าเพิ่งเบื่อนะคุณ..
“บ่อเกิดของอาชญากรรมทั้งหมดนั้น มาจากความเข้าใจที่บกพร่องบางประการ หรือการใช้เหตุผลที่ผิดพลาดไปบ้าง หรือจากแรงปรารถนาบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน”
ก็จริงอย่างที่ “ฮอบส์” พูด! เพราะไม่ว่าอาชญากรรมจะเกิดด้วย “ต้นเหตุใด” ก็ตาม แต่สุดท้าย “จบ” หรือ “พัง” ด้วยอารมณ์ชั่ววูบเสมอ!
“หลักการอีกข้อที่ยอมรับไม่ได้อย่างแท้จริง ในสังคมพลเมืองคือ สิ่งใดที่มนุษย์กระทำลงไป โดยขัดต่อสำนึกของตน ย่อมเป็นบาป อีกทั้งสันนิษฐานว่า มนุษย์ต้องเป็นผู้ตัดสินความดีและความชั่วด้วยตนเอง ทั้งนี้เพราะสำนึกกับการตัดสินใจของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน และทั้งการตัดสินใจและสำนึกของเขา ก็อาจผิดพลาดได้เหมือนกัน”
คำว่า “ความผิดพลาด” ทั้งหมดของ “มนุษย์” เกิดขึ้นมาแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์แล้วล่ะ แต่ว่าไปแล้ว “มนุษย์ดี” ต้องยอมรับเรื่อง “ผิด” แล้วแก้ให้ “ถูก”..จริงไหม?
เอ๊ะ!..แต่มิใช่ทำแบบ “ทักษิณ” นะ! ที่รู้ตัวเองว่า “ทำผิด” แล้ว “หนี” ไปตั้งสิบกว่าปี ถึงจะยอมกลับมารับโทษ จะยอม “เข้าคุก”? อย่าคิดว่า “ตัวเองเก่ง” เป็น “เทวดา” และเป็น “อภิสิทธิ์ชน” นะโว้ย!

“เสียงหัวเราะนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากความภูมิใจที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน อันมาจากความคิดฉาบฉวย ที่คิดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น โดยเปรียบเทียบกับความอ่อนแอของผู้อื่น หรือกับภาวะของตนเองก่อนหน้านั้น”

เอ๊ะ! ฤา “นักปรัชญาฮอบส์” ที่เสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว กล่าวตำหนิ “ทักษิณ” มหาเศรษฐีอดีตนายกฯ ไทย ในฐานะนักโทษคอรัรัปชั่นโกงชาติวะเนี่ย..?
“โดยธรรมชาติ การไม่ประมาณตนย่อมถูกลงโทษด้วยเชื้อโรค ความเร่งรีบและพลาดโอกาส การไร้ความยุติธรรมย่อมถูกลงโทษด้วยความรุนแรงจากศัตรู ความหยิ่งผยองย่อมถูกลงโทษด้วยความพินาศ ความขลาดกลัวย่อมถูกลงโทษด้วยการถูกกดขี่ และการกบฏย่อมถูกลงโทษด้วยการถูกสังหาร”
ข้อความข้างต้นของ “ฮอบส์” เหมือนยังหงุดหงิด ทั้งตั้งใจสอนพร้อมตำหนิ “ทักษิณ” อย่างแรงส์ส์ส์ ทั้งที่รัฐบาล “ทักษิณ” ถูกรัฐประหารมา 2 ครั้ง โกงชาติจนต้องหนีไปอยู่ต่างแดนถึงสิบกว่าปี “ทำผิด” แต่ยังไม่ยอมรับโทษ “เข้าคุก”?

“นายกฯ เศรษฐา” ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น.. ปล่อยให้เกิดเรื่อง “สองมาตรฐาน” ได้ไงวะ..???

“ความหิวที่มาพร้อมกับการรู้ว่าจะมีอาหาร เรียกว่าความหวัง แต่ความหิวที่รู้ว่าจะไม่มีอาหาร เรียกว่าความสิ้นหวัง”

เอ้อ.. “ฮอบส์” ยังพูดต่ออีกว่า “ความหวาดกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมชาติที่ทุกคนเรียกว่าศาสนา”

หากไปทาง “ศาสนา” ก็พอไหวว่ะ? แต่ถ้า “ท้องหิว” แล้วรู้ว่า “ไม่มีอาหาร”? ผู้คนหิวโหยทนไม่ไหว พากันลุกฮือขึ้นมาล่ะ?..ก็ “เรือหาย-ชิพหาย” แน่นอน!..

“ที่ใดขาดซึ่งอำนาจร่วม ที่นั่นย่อมไม่มีกฎหมาย ที่ใดไม่มีกฎหมาย ที่นั่นย่อมไม่มีความยุติธรรม”!!!

อืม..คำพูดข้างต้นของ “ฮอบส์” ดันมาตรงกับยุค “นายกฯ ตู่” จนถึงยุค “นายกฯ เศรษฐา” ซึ่งปล่อยให้ชาติไทยเกิดเรื่อง “ไร้นิติรัฐ สิ้นนิติธรรม” จากการที่ “นักโทษฉกรรจ์” หนีคดีความ! “นักโทษเด็ดขาด” ไม่ยอมรับโทษ “เข้าคุก” เพราะ “ทักษิณ” เป็น “อภิสิทธิ์ชน” หรือไงว่ะ..???

“ชีวิตในสภาวะธรรมชาติ คือชีวิตที่ปราศจากศิลปะ ปราศจากหนังสือ ปราศจากสังคม และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ จะเป็นภาวะที่มีแต่ความหวาดกลัวอย่างไม่สิ้นสุด และอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต” เพราะหากสภาพการณ์เป็นเช่นนั้น “ฮอบส์” พยากรณ์ไว้ว่า..

“หากปราศจากซึ่งกฎหมายและสังคม ชีวิตมนุษย์จะโดดเดี่ยว ยากจน เลวร้าย ทุกข์เข็ญ และสั้น”!

เอ๊ะ!.. “ฮอบส์” จบคำคมนี้ด้วยคำว่า “สั้น”! อืม.. ท่าจะจริงของ “ฮอบส์”.. ถ้า “สังคมใด” เป็น “อนาธิปไตย” ชีวิตมนุษย์จะเป็นสุขได้อย่างไร? ชีวิตจะอยู่ “ยืนยาว” ต่อไปได้หรือ? ชีวิตมนุษย์ย่อมต้อง “สั้น” น่ะสิโว้ย..!

“ความดีและความชั่วไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากชื่อที่เราใช้เรียกความอยากและความเกลียดชังของเราเอง ซึ่งด้วยอารมณ์และหลักการของมนุษย์ที่แตกต่างกันไป ความดีและความชั่วก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย”

ก็ใช่อีกล่ะนะคุณ “ฮอบส์”.. ศิลปินวาดภาพใช้ “สีขาว” แทน “ความดี” และใช้ “สีดำ” แทน “ความชั่ว” เพราะเป็น “สีตรงกันข้าม”..

“ในช่วงเวลาที่มนุษย์อยู่โดยปราศจากอำนาจร่วม ที่ช่วยให้ทุกคนได้อยู่ในภาวะที่น่าประหลาดใจ (ความสงบ) พวกเขาอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “สงคราม” ราวกับว่า ทุกคนปราศจากความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกต้องและสิ่งที่ผิด”

ถ้าการณ์เป็นเช่นดังที่ “ฮอบส์” พูดถึง “สังคมมนุษย์โลก” คงจบสิ้นแล้วล่ะ.. เพราะถ้าถึงขั้น “มนุษย์” ไร้สมองจนไม่รู้ถูก! ไม่รู้ผิด! ไม่รู้ชั่ว! ไม่รู้ดี! งั้น “มนุษย์” ต้องย่ำแย่ต่ำทรามยิ่งกว่า “สัตว์” แล้วนะ!!!

สำหรับ “ฮอบส์”.. ได้บอกไว้ว่า “ข้าพเจ้ากำลังจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า-การกระโดดที่ยิ่งใหญ่เข้าสู่ความมืด” ด้วย “เขา ”เป็นบุรุษที่ได้ประกาศจะไม่ยอมละทิ้งหลักการที่ยึดมั่นมาตลอด..

ด้วยคำพูดอมตะซึ่งกลายเป็น “วรรคทอง” ที่ยังเปล่งประกายงดงาม.. “เวลาว่างคือมารดาแห่งปรัชญา”!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น